| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |
| พัฒนาทางประวัติศาสตร์ | มรดกทางธรรมชาติ | มรดกทางวัฒนธรรม | มรดกทางพระพุทธศาสนา |

            กลุ่มบ้านกุนุงจนอง  คำว่ากุนุงจนองแปลว่าภูเขาเอียง อยู่ที่บ้านกุนุงจนอง ในตำบลเบตง อำเภอเบตง มีพื้นที่ประมาณ ๒๐ ไร่ ทิศเหนือติดต่อกับคลองเบตง ทิศตะวันออกติดต่อกับหมู่บ้านตักโกร ทิศตะวันตกติดต่อสวนแปะหลิม ซึ่งติดกับเขตแดนมาเลเซีย ทิศใต้ติดต่อกับสวนยาง
            กลุ่มบ้านนี้ สร้างอยู่บนพื้นที่เดียวกัน ที่ดินเป็นของต้นตระกูล มีประมาณ ๑๕๐ หลังคาเรือน บ้านแต่ละหลังจะมีร่องน้ำจากชายคาตัดเป็นแนวเขตของบ้าน เป็นกลุ่มบ้านที่พึ่งพาอาศัยแบบเครือญาติ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน บริเวณบ้านสะอาดสะอ้านมีระเบียบวินัย ยึดมั่นในคุณธรรมของศาสนาและรักสันติสุข
            กลุ่มบ้านนี้มีอายุกว่า ๑๐๐ ปี สร้างแบบรูปทรงพื้นบ้าน ผู้ดำเนินการก่อสร้างได้แก่คนในตระกูลยามา บ้านหลังนี้เก่าแก่ที่สุด ใช้ไม้ไผ่ขัดแตะเป็นฝาบ้าน หลังคามุงจาก การสร้างบ้านในสมัยหลัง ๆ จะมีการแกะสลักเป็นลวดลายสวยงาม ประดับตามช่องลม เหนือประตูหน้าต่าง
            สิ่งที่น่าศึกษาของคนในกลุ่มบ้านนี้คือ เรื่องบทบาทของสถาบันในสังคม ซึ่งจะมีผู้นำของกลุ่มบ้านเป็นผู้ปกครองได้แก่ โต๊ะอิหม่าน ซึ่งมีประมาณ ๑๕ คน เขาเหล่านี้นอกจากจะให้ความรู้เกี่ยวกับศาสนา และให้คำปรึกษาหารือต่าง ๆ แก่ผู้ตนในกลุ่มบ้านแล้ว ยังคอยสอดส่องดูแลความประพฤติของเยาวชนในกลุ่มด้วย มีมัสยิด มีโรงเรียนสอนศาสนา โรงเรียนเทศบาล เด็ก ๆ จะเรียนศาสนาที่มัสยิดในวันเสาร์ อาทิตย์
            การประกอบอาชีพของคนในหมู่บ้านคือทำสวนยางและสวนผลไม้ รายได้เฉลี่ยต่อบุคคลประมาณเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท มีการประกอบกิจกรรม ที่กระทำร่วมกันของคนในกลุ่มบ้านเช่น การกวนข้าว อาซูรอ การเล่นกีฬาที่ใช้นาเป็นสนามฟุตบอลและสนามตะกร้อ เป็นต้น
แหล่งอุตสาหกรรม
           เหมืองแร่ดีบุก จังหวัดยะลามีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ในการทำเหมืองแร่ดีบุก เพราะเป็นจังหวัดเดียวที่เป็นแหล่งแร่สำคัญ ในบริเวณสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การทำเหมืองแร่เริ่มจากเหมืองหาบ มาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในเวลาต่อมาได้วหันไปทำเหมืองแร่ชนิดอื่น ๆ ด้วยเช่น เหมืองสูบ เหมืองแล่นและเหมืองฉีด โดยมีที่ตั้งกระจายตัวอยู่ในเขตอำเภอเมือง ฯ อำเภอบันนังสตา อำเภอธารโต และอำเภอเบตง
สิ่งสำคัญคู่เมืองยะลา

           วัดคูหาภิมุข  เดิมชื่อวัดถ้ำ อยู่ในเขตตำบลหน้าถ้ำ อำเภอเมือง ฯ  มีพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่ศิลปะสมัยศรีวิชัยอยู่ในถ้ำบริเวณวัดแห่งนี้ เริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๐ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๙ พระพิพิธภักดี (เพิ่ม  เตชะคุปต์) เจ้าเมืองยะลาเห็นว่าบริเวณวัดเดิมคับแคบ ควรขยับขยายออกไปจากที่เดิมที่ชายเขา ให้ไปอยู่ริมฝั่งสระด้านนอกชาวบ้านได้ช่วยกันบริจาคที่ดินประมาณ ๒๐ ไร่ แล้วสร้างอุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ และเสนาสนะเพิ่มเติม ต่อมาอุโบสถหลังเก่าทรุดโทรม ทางวัดจึงได้สร้างอุโบสถหลังใหม่ เป็นแบบจตุรมุขมีรูปทรงคล้ายรูปแบบเดิม วางศิลาฤกษ์เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๙

           หลักเมืองยะลา  ด้วยเหตุที่เมืองยะลาได้แยกออกจากเมืองปัตตานีที่แยกออกเป็นเจ็ดหัวเมือง ที่ตั้งตัวเมืองยะลาเดิมมิได้อยู่ในที่ปัจจุบัน แต่ได้มีการโยกย้ายมาแล้วถึงสี่ครั้ง
            ดังนั้นจึงได้มีการวางศิลาฤกษ์สร้างหลักเมืองขึ้น ที่บริเวณศูนย์วงเวียนหน้าศาลากลางจังหวัด เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๔ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดคือ พ.ต.อ.ศิริ  คชหิรัญ  เป็นผู้ริเริ่ม
                - เสาหลักเมือง  ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ออกแบบแกะสลักเป็นแท่งกลม ต้นเสาวัดโดยรอบได้ ๑๐๕ เซนติเมตร ปลายเสาวัดโดยรอบได้ ๔๘ เซนติเมตร สูง ๑.๒๕ เซนติเมตร วางอยู่บนฐานลักษณะกลมแกะสลักลวดลายแบบไทยลงรักปิดทองรอบฐาน ชั้นบนและชั้นกลางแกะสลักเป็นรูปนักรบโบราณถือโล่และดาบ ยอดเสาแกะเป็นรูปพระพรหมสี่หน้า อันแสดงถึงความเมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา ซึ่งเป็นหลักการปกครองของผู้เป็นใหญ่ที่ปกครองบ้านเมือง
                - อาคารศาลหลักเมือง  สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก หลังคาจตุรมุข หันหน้าไปทางทิศทั้งสี่ มีบันไดขึ้นทั้งสี่ทิศ อาคารเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมขนาด ๖ x ๖ เมตร ย่อมุมไม้สิบสอง สูง ๖.๕๐ เมตร หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสลับสี หลังจากประกอบพิธีกรรมในการฝังเสาหลักเมืองเสร็จ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๕ ทางจังหวัดได้จัดให้มีงานเฉลิมฉลองสมโภช และได้ยึดถือเป็นงานสมโภชประจำปีทุกปี ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน

           มัสยิดกลางจังหวัดยะลา  เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๗ ได้มีผู้อุทิศที่ดินให้สร้างมัสยิดขึ้นที่บ้านตลาดเก่า อำเภอเมือง ฯ ตั้งชื่อว่ามัสยิดเราฏอตุลยันนะห์ เป็นอาคารชั้นเดียว สามารถทำละหมาดได้ครั้งละ ๕๐ คน  ในปี พ.ศ.๒๔๙๙ รัฐบาลได้ให้เงินสนับสนุนร่วมกับ เงินบริจาคของประชาชน ได้ขยายมัสยิดออกไปจนจุคนได้ประมาณ ๓๐๐ คน  ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๒๒ รัฐบาลได้ให้งบประมาณแผ่นดินซื้อที่ดินเพิ่มอีก ๓๐๐ ตารางวา และให้สร้างอาคารใหม่ทดแทนด้วยงบประมาณ ๒๘.๒ ล้านบาท
            ตัวอาคารมี ๓ ชั้น กว้าง ๓๐ เมตร ยาว ๗๐ เมตร หออาซานสูง ๓๘ เมตร โดยหลังคาแทนที่จะเป็นบัวตูมแบบโดมอื่น ๆ กลับเป็นบัวแย้ม มีกระจกใสติดที่ยอดดอกบัวเพื่อให้แสงลอดเข้าไปได้
            มัสยิดแห่งนี้ใช้เวลาสร้างอยู่ ๔ ปี เสร็จเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๖ กล่าวกันว่าเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ศิลปะ หัตถกรรมและงานช่าง
    ประติมากรรม

           ยักษ์วัดถ้ำ  อยู่ที่วัดคูหาภิมุข ตำบลหน้าถ้ำ อำเภอเมือง ฯ  เป็นยักษ์ปูนปั้นในกลุ่มจตุโลกบาล ยืนเฝ้าปากถ้ำพระนอน (ถ้ำแจ้ง) มีตะบองพันเป็นเกลียววางดิ่งอยู่ตรงหน้า หัวตะบองเป็นหัวกะโหลก ตัวยักษ์ไม่สวมเสื้อ นุ่งผ้าถุงหยักรั้งยาวเหนือเข่าเล็กน้อย รูปร่างหน้าตาคล้ายคนป่าแยกเขี้ยวยิงฟัน ตาโตแดงเป็นประกาย ศีรษะไม่ประดับเครื่องทรงใด ๆ มีงูพันรอบคอ หัวงูตั้งอยู่บนหัวกะโหลกของตะบอง แขนสองข้างสวมกำไลแขน มีหัวกะโหลกประดับอยู่บนกำไลแขนทั้งสองข้าง
    จิตรกรรม

           จิตรกรรมฝาผนังถ้ำศิลป  ถ้ำศิลปอยู่ในภูเขาวัดถ้ำ ตำบลหน้าถ้ำ อำเภอเมือง ฯ  อยู่ห่างจากถ้ำพระนอนไปทางหัวเขาทิศใต้ ประมาณ ๑.๕ กิโลเมตร ปากถ้ำอยู่สูงกว่าเชิงเขาประมาณ ๒๘ เมตร ถ้ำนี้อาจแบ่งออกได้เป็นสองตอน ตอนที่เป็นทางเข้ามีภาพเขียนที่ผนังซ้ายมือด้านเดียว อยู่ทางทิศใต้  ทางด้านทิศเหนือมีภาพเขียนสีอยู่ที่ผนังถ้ำทั้งสองด้าน ภาพที่เขียนเป็นภาพพระพุทธเจ้าปางมารวิชัย ภาพพระพุทธเจ้าประทับนั่ง เป็นแถวเบื้องซ้ายและขวา มีพระสาวกหรืออาจเป็นอุบาสกอุบาสิกานั่งประนมมืออยู่ ภาพพระพุทธเจ้าปางลีลา และมีรูปผู้หญิงยืนเป็นหมู่สามคน สีที่เขียนเป็นสีดินเหลือง เป็นหลักประกอบด้วยสีน้ำตาลและสีแดง เพื่อแยกน้ำหนักอ่อนแก่ตัดด้วยสีดำ ส่วนสีเขียวเป็นสีที่เกิดขึ้นภายหลัง เนื่องจากปฏิกิริยาทางเคมีของสารที่ผสมอยู่ในสี
            ภาพเขียนสีเล่านี้สันนิษฐานว่าเป็นฝีมือช่างสกุลท้องถิ่นที่ได้รับอิทธิพลด้านรูปแบบของภาพโดยตรงจากอินเดีย และน่าจะเป็น
            ภาพเขียนสมัยศรีวิชัยตอนปลาย ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๐
            ภาพเขียนสีที่ถ้ำศิลป ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำหรับชาติเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๘
    สถาปัตยกรรม

            มัสยิดและปอเนาะ ปะแดรู  ตั้งอยู่ที่บ้านปะแดรู ตำบลเขาตอง อำเภอยะหา ในพื้นที่ประมาณ ๘ ไร่ ประกอบด้วยอาคารเรียนหลังเก่า อาคารที่พักของโต๊ะครู หลังเก่า บ้านพักครู หอพักนักเรียนชาย - หญิง ซึ่งแบ่งพื้นที่กันอยู่ ตัวอาคารนับว่ามีคุณค่าทางศิลปกรรมคือ อาคารเรียนชั้นเดียวเป็นอาคารไม้พื้นซีเมนต์ หลังคาทรงลีมะ มีลวดลายประดับหน้าจั่วและบริเวณเชิงชายตลอดจนช่องลมต่าง ๆ และตัวอาคารที่เป็นที่พักของโต๊ะครู ก็มีรูปทรงที่สวยงาม อาคารสองหลังนี้มีอายุประมาณ ๘๐ ปี อาคารทุกหลังจะรักษารูปทรงพื้นเมืองไว้เป็นอย่างดี
            มัสยิดปะแดรู (ตัฒวา) สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๙ สร้างโดยเงินส่วนตัวของปอเนาะ รวมกับเงินบริจาคของชาวบ้านปะแดรู รูปทรงเป็นแบบมัสยิดสากล ที่สมส่วนสวยงาม ซุ้มประตูสร้างขึ้นในช่วงเดียวกันกับที่สร้างมัสยิด เป็นรูปโดมมีลวดลายสวยงาม

            มัสยิดกลาง อำเภอเบตง  ตั้งอยู่ในเขตเทศบาล อำเภอเบตง เดิมสร้างด้วยเสาไม้กลม ๖ ต้น ใบจาก ๖ ลายา (ตับ) ชาวไทยอิสลามเบตง ได้ร่วมทุนกันสร้างอาคารมัสยิดหลังใหม่ ทางราชการได้ให้งบประมาณสมทบ ทำให้ได้มัสยิดที่สวยงามแห่งหนึ่ง

            ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ยะลา  อยู่ในเขตตำบลสะเตง อำเภอเมือง ฯ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หลังคารูปทรงจีน ลดหลั่นกัน มุงด้วยกระเบื้อง บนสุดของหลังคา แกะสลักเป็นรูปมังกรสองตัว กำลังคาบแก้ว
            ศาลเจ้าแห่งนี้ เริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๘  จากเงินที่ได้รับบริจาค ต่อมาได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติม อาคารที่เป็นโรงครัว ที่พักสำหรับผู้มาพักแรม และในสวนที่เป็นศาลาไว้ศพ อีกหลังหนึ่ง
            อาคารมูลนิธิอำเภอเบตง  ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านถนนรัตนกิจ อำเภอเบตง ในพื้นที่ประมาณ ๕ ไร่ตัวอาคารมีสองหลัง เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หลังแรกมีโครงสร้างแบบศาลเจ้าของจีน หลังคารูปทรงจีน ภายในอาคารเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ ห้องโถงส่วนกลางเป็นสถานที่ตั้งพระบูชาของจีน สำหรับให้ศาสนิกชนเข้าไปกราบไหว้บูชา ด้านหน้าอาคารเป็นสวนไม้ประดับ มีพันธุ์ไม้มงคลหลายชนิดปลูกไว้อย่างสวยงาม
            อาคารหลังที่สองเป็นห้องโถงใหญ่ ใช้เป็นสถานที่ประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ฝาผนังด้านในของอาคาร จะมีกิจกรรมเกี่ยวกับเรื่องนรกและสวรรค์
            อาคารมูลนิธิสร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๕ มีการตกแต่งศิลปภายในตัวอาคารด้วยความรู้ทางปรัชญา และวรรณกรรมจีนที่ใส่ลงไปในภาพ ศิลปะการแกะสลักไม้ที่บานประตู การแกะสลักภาพบนหลังคา การตกแต่งเรื่องราวเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนัง ล้วนมีคุณค่าทางศิลปะและวิชาการที่ควรแก่การศึกษา

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |