| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |
| พัฒนาทางประวัติศาสตร์ | มรดกทางธรรมชาติ | มรดกทางวัฒนธรรม | มรดกทางพระพุทธศาสนา |

มรดกทางวัฒนธรรม

โบราณสถานและโบราณวัตถุ
    โบราณวัตถุ
            พระพิมพ์ดินดิบ  นิยมสร้างในพุทธศาสนาฝ่ายมหายานในสมัยโบราณโดยเฉพาะสมัยศรีวิชัย สร้างขึ้นเพื่อเป็นสิ่งเคารพบูชาแทนองค์พระศาสดา บ้างก็เชื่อว่าสร้างขึ้นเมื่อพระผู้ใหญ่มรณภาพลง เมื่อเผาแล้วก็เอาอัฐิธาตุโขลกผสมดินทำเป็นพระพิมพ์เพื่อบูชา
            จากวัตถุโบราณที่พบในบริเวณแห่งนี้ นับแต่ขวานหินและชิ้นส่วนของเครื่องปั้นดินเผา มีลายเชือกทาบ แสดงให้เห็นว่าพื้นที่บริเวณนี้ มีความเป็นมาตั้งแต่ช่วงเวลาก่อนประวัติศาสตร์
    โบราณสถาน
            พระพุทธไสยาสน์  ทางภาคใต้เรียกกันว่า พระนอน  และทางตำบลหน้าถ้ำเรียกว่า พ่อท่านบรรทม อยู่ในถ้ำพระนอนหรือถ้ำแจ้ง ภูเขาวัดถ้ำ ตำบลหน้าถ้ำอำเภอเมือง ฯ องค์พระยาว ๘๑ ฟุต มีพญานาคทอดตัวอยู่เหนือองค์พระและแผ่พังพานอยู่เหนือพระเศียร พระกรขวาทอดศอกออกไปข้างหน้าตามแบบอินเดีย
    แหล่งโบราณคดี
           ชุมชนโบราณบ้านท่าสาป ทุ่งกาโล ภูเขากำปั่น ภูเขาวัดถ้ำ  นอกตัวเมืองยะลา ไปทางทิศตะวันตก ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๐๙ บริเวณหลักกิโลเมตรที่ ๔ ถึงหลักกิโลเมตรที่ ๘ อันเป็นที่ตั้งของตำบลท่าสาปและตำบลหน้าถ้ำ มีที่ราบที่ชาวบ้านเรียกว่า ทุ่งกาโล ด้านตะวันออกของทุ่งมีแม่น้ำปัตตานี ไหลผ่านเป็นแนวเขตระหว่างพื้นที่กับตัวเมืองยะลา  ด้านตะวันตกมีภูเขาวัดถ้ำและภูเขากำปั่นกั้นเป็นฉากหลัง พื้นที่บริเวณดังกล่าวนี้รวมทั้งถ้ำต่าง ๆ ในภูเขาวัดถ้ำและภูเขากำปั่นถือเป็นชุมชนโบราณบริเวณเดียวกัน
                - บ้านท่าสาป  ได้มีการจัดตั้งเป็นเมืองยะลา ในปี พ.ศ. ๒๓๙๐ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปัตตานี เป็นท่าเรือที่จะรับส่งสินค้า จากต้นน้ำคือบริเวณอำเภอเบตง อำเภอบันนังสตา ตลอดจนเป็นจุดที่ล่องเรือสู่ปากน้ำปัตตานีด้วย

                - ทุ่งกาโล  เดิมเป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์ของชาวบ้านท่าสาปและหน้าถ้ำ ในพื้นที่มีโคกอิฐเนินดินปรากฎอยู่เรียงราย มักพบเครื่องปั้นดินเผาที่ยังสมบูรณ์อยู่บ้างเป็นเศษชำรุดบ้าง เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๒ ได้พบพระพุทธรูป เทวรูป เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๐ มีการปรับพื้นที่เพื่อสร้างสนามบินท่าสาป พบว่ามีซากกำแพงเมืองและได้พบเครื่องถ้วยชามฝังดินอยู่ไม่น้อย พบเทวรูปพระนารายณ์สี่กร สำริด สูงประมาณหนึ่งศอกและพระพุทธรูปอีกหลายองค์
                - ภูเขาวัดถ้ำ ภูเขากำปั่น  อยู่ทางทิศตะวันตกของทุ่งกาโล ตำบลหน้าถ้ำ ซึ่งมีภูเขาวัดถ้ำและภูเขากำปั่นเป็นภูเขาหินปูน มีถ้ำใหญ่น้อยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะภูเขาวัดถ้ำ มีถ้ำสำคัญคือ ถ้ำแจ้ง หรือถ้ำพระนอน ซึ่งมีโบราณวัตถุเป็นจำนวนมาก รวมทั้งพระพุทธไสยาสน์ ขนาดใหญ่ และถ้ำศิลป ซึ่งมีภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยศรีวิชัย พระพุทธไสยาสน์
            ถ้ำสำเภา  และถ้ำคนโท ถ้ำสำเภาอยู่ทางด้านทิศเหนือของภูเขา ปากถ้ำสูงกว่าพื้นดินประมาณ ๓ เมตร เคยมีผู้ขุดพบพระพุทธรูปปูนปั้นพระพิมพ์ดินเผาและพระสำริด ในถ้ำมีหินงอกหินย้อยงดงาม มีถ้ำเล็ก ๆ แยกออกไปเป็นซอกซอย บางช่วงเป็นห้องกว้าง ที่ผนังถ้ำมีลวดลายของหินตามธรรมชาติ ผนังถ้ำบางแห่งเคยมีปูนปั้นเป็นรูปราชรถ มีเทวดาประทับอยู่บนราชรถ แต่ปัจจุบันได้หายไปหมดแล้ว

            ถ้ำคนโท  อยู่ตอนกลางของภูเขากำปั่น อยู่สูงจากพื้นดินมาก เป็นถ้ำที่สำคัญและใหญ่ที่สุดของภูเขากำปั่น เป็นถ้ำหินอ่อน มีหินงอกหินย้อยสวยงามมาก จากการขุดค้นในปี พ.ศ.๒๕๐๐ ได้พบวัตถุโบราณได้แก่พระพิมพ์ดินดิบ พระพุทธรูปและเครื่องถ้วยจากถ้ำนี้มากกว่าถ้ำอื่น ๆ วพระพุทธรูปที่พบในถ้ำแห่งนี้เป็นพระพุทธรูปสลักในแผ่นหินมีอยู่สามองค์ องค์ที่สมบูรณ์ที่สุดสลักในแผ่นหิน กว้าง ๒๒ เซนติเมตร สูง ๓๐ เซนติเมตร สลักเป็นภาพนูนต่ำปางสมาธิ ส่วนพระพุทธรูปสำริดที่พบมักมีอยู่เป็นจำนวนมาก มีทั้งที่เป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย สมัยอู่ทอง บางองค์ก็สันนิษฐานว่า เป็นสมัยศรีวิชัย
    แหล่งประวัติศาสตร์
            เมืองเก่าโกตาบารู  เคยเป็นเมืองเก่าในสมัยการแบ่งมณฑลปัตตานีออกเป็นเจ็ดหัวเมือง เป็นที่ตั้งของเมืองรามัน ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๑ ได้เปลี่ยนเป็นตำบลหนึ่งในอำเภอรามัน ร่องรอยของความเป็นเมืองเก่าของโกตาบารู ที่ยังคงเหลืออยู่คือ
                - กำแพงดิน  ขนาดฐานกว้าง ๓ - ๔ เมตร สูง ๒ เมตร เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า รอบพื้นที่ประมาณ ๒๕ ไร่ ส่วนของกำแพงยังพอเห็นเป็นแนวกำแพงอยู่ในสวนยางพาราของเอกชน

                - หลุมฝังศพพระยารามัน  ตั้งวอยู่ในสุสานสาธารณะ หลังตลาดโกตาบารู ห่างจากกำแพงเมืองเก่าประมาณ ๑๐๐ เมตร
            เมืองรามันเดิม หรือโกตาบารู เป็นเมืองที่เจริญและอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ มีทั้งช้าง ป่าไม้ ทอง และแร่ทับทิม รามันมีอาณาเขตกว้างขวาง ติดต่อกับเมืองสายบุรี เมืองยะลา เมืองระแงะ และเมืองเปอร์ลิสของมาเลเซีย มีเจ้าเมืองปกครองติดต่อกันมาหลายคน ที่สำคัญและเป็นที่นับถือของชาวไทงยพุทธ ชาวไทยอิสลามและชาวจีน ทั้งในถิ่นและนอกถิ่นคือ โต๊ะนิจาแว เรียกสั้น ๆ ว่า โต๊ะนิ เล่ากันว่าเจ้าเมืองเป็นคนที่ชอบการเล่นกิจกรรมสนุกสนาน ชอบเล่นกีฬา โดยเฉพาะศิลปะการป้องกันตัวที่เรียกว่า สิละมาก เมื่อวถึงวันวสำคัญก็จะมีการแข่งขันการรำสิละ ตกกลางคืนจะมีการแสดงลิเกฮูลู เล่ากันว่าลิเกฮูลู ถือกำเนิดที่เมืองนี้เป็นครั้งแรก เมืองนี้จึงได้ชื่อว่า โกตอราไม แปลว่าเมืองรื่นเริง เช่นเจ้าเมืองบนบานอะไรไว้ เมื่อสำเร็จผลก็มีการแก้บนกัน โดยเฉพาะวันโกนจุกและวันแต่งงานของลูกเจ้าเมือง จะเชิญเจ้าเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงมาร่วมในงานด้วย
            เมื่อรายอจาแว (โต๊ะนิ) ถึงแก่กรรม บรรดาลูก ๆ ก็พัฒนาวังเก่าให้ใหม่และใหญ่ขึ้น โดยย้ายจากที่เก่ามาตั้งใกล้ถนนใหญ่ แล้วเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่เป็น โกตาบารู แปลว่าวังใหม่

            เมืองเก่ายะลา บ้านยะลา  เมื่อครั้งที่เมืองปัตตานี แบ่งออกเป็นเจ็ดหัวเมือง ในปี พ.ศ.๒๓๕๗ เมืองยะลาเป็นเมืองหนึ่งในเจ็ดหัวเมืองนั้น ตอนนั้นเมืองยะลาตั้งอยู่ที่บ้านยะลอ ปัจจุบันอยู่ในเขตตำบลบ้านยะลา อำเภอเมือง ฯ  ประชาชนทั่วไปบริเวณนี้เรียกพื้นที่แห่งนี้ว่า เมืองเก่ายะลา ตัวเรือนที่เหลือเป็นร่องรอยว่าเป็นจวนเจ้าเมือง
            ตามพงศาวดารเมืองปัตตานี ฉบับของพระยาวิเชียรคีรี ฯ (ชม) เจ้าเมืองสงขลา ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๓๑ - ๒๔๔๔ ได้กล่าวถึงอาณาเขตเมืองยะลา ที่แบ่งแยกออกมาจากเมืองปัตตานีไว้ว่า
            เขตแดนเมืองยะลารอบตัวตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่เขาปะราหมะปักหลักเรียงลงไปตะวันออก ถึงปะฆะหลอสะเตาะเหนือบ้าน จินเหรตลอดไปถึงบ้านกะลั่นอะหรอ จนถึงคลองใหญ่ท่าสาปจดบ้านบะนางสะตาฟากเหนือ เป็นเขตเมืองยะลา ฟากใต้เป็นเขตเมืองรามันห์ ฟากตะวันตกเป็นเขตเมืองยะลา ปากคลองตะวันออก เป็นเขตเมืองปัตตานี ฝ่ายเหนือต่อพรมแดนหนองจิก เขาศาลาคีรีเป็นแดนฝ่านตะวันตกต่อพรมแดนเมืองไทรบุรี มีคลองบาโงยเป็นเขตแดนขึ้นไปถึงบ้านยินัง ตลอดไปบ้านบะเหลาะฝ่ายตะวันตก ตลอดไปจดเขาเมืองดิคะล่าบูสิ้นเขตเมืองยะลา
            กำแพงเมืองบ้านกาแป๊ะกอตอ  เป็นกำแพงดินฐานกว้างประมาณ ๓ เมตร สูง ๒ เมตร ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ ๒๐ ไร่ เป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู อยู่ที่บ้านกาแป๊ะกอตอ ตำบลเบตง อำเภอเบตง
            เมื่อมีการแบ่งเมืองปัตตานีออกเป็นเจ็ดหัวเมืองนั้น เบตงขึ้นกับเมืองรามัน เจ้าเมืองรามันบางคนได้มาสร้างวังอยู่ที่เบตง คือที่บ้านกาแป๊ะกอตอแห่งนี้ มีตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่าเป็นวังของรายอซิยง (ราชาเขี้ยวงอก) เป็นราชาอธรรม ข่มเหงรังแกชาวบ้าน ชาวบ้านจึงได้รวมตัวกันขับไล่ไปอยู่ทางตอนใต้ (อยู่ในประเทศมาเลเซียในปัจจุบัน)
            กำแพงเมืองที่บาโงยบาแต  อยู่ที่บ้านบาโงยบาแต ตำบลสะเตงนอก อำเภอเมือง ฯ  มีคันดินฐานกว้างประมาณ ๓ เมตร สูงประมาณ ๑.๕ เมตร เป็นแนวยาวจากทิศเหนือไปทิศใต้ยาวประมาณ ๑๕๐ เมตร ด้านนอกของคันดินมีคูลึกประมาณ ๑.๕๐ - ๒.๐๐ เมตร  ห่างจากคันดินดังกล่าวมีเนินดินขนาดฐานกว้าง ๑๕ เมตร สูงประมาณ ๓ เมตร ภายในเนินดินเป็นแผ่นอิฐวางระเกะระกะ ขนาดแผ่นอิฐหนา ๒ นิ้ว กว้าง ๔ นิ้ว ยาว ๘ นิ้ว
            โบราณสถานดังกล่าวไม่มีหลักฐานบอกถึงความเป็นมา แต่มีตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่าเดิมเป็นวังของราชาเขี้ยวงอกผู้ดุร้าย ภายหลังต้องหนีไปอยู่ที่อื่น
            จากการสำรวจ สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นกำแพงดินและคูเมืองสมัยอยุธยา ส่วนเนินอิฐนั้นยังไม่ได้มีการขุดแต่ง จึงยังสันนิษฐานไม่ได้ว่า เป็นซากสิ่งก่อสร้างประเภทใด

            วังเก่าพระยายะลา (ต่วนสุไลมาน)  ตั้งอยู่ที่บ้านเปาะเส้ง ตำบลเปาะเส้ง อำเภอเมือง ฯ ในพื้นที่ประมาณ ๓ ไร่ มีอาณาเขตทิศเหนือติดกับสวนยาง ทิศใต้ติดกับคลองยะหา เป็นบ้านทรงปั้นหยา หลังคาทรงลีมะ เป็นเรือนแฝด มีชานเรือนอยู่กลาง  เรือนหลังใหญ่กว้างประมาณ ๕ เมตร ยาว ๒๐ เมตร  หลังเล็กกว้างประมาณ ๔ เมตร ยาว ๒๐ เมตร  เรือนหลังใหญ่ด้านหน้ามีระเบียงด้านหลังเป็นห้องละหมาด ชานเรือนข้างหลังเป็นบ่อน้ำและอ่างน้ำละหมาด  ด้านหลังของเรือนหลังเล็กเป็นห้องครัว
            วังเก่าหลังนี้เป็นเรือนใต้ถุนสูง มีเสาไม้เป็นจำนวนมาก พื้นไม้กระดาน ฝาไม้กระดาน หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผาซึ่งนำมาจากเตาเผาที่เมืองปัตตานี ช่างที่สร้างชื่อ หะยีลีมะ เป็นช่างคนเดียวกันกับที่สร้างวังที่เมืองปัตตานี เป็นผู้ออกแบบเอง และสร้างเองโดยมีชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงเป็นลูกมือ

            หลุมฝังศพ (กุโบ) พระยายะลา (ต่วนสุไลมาน)  ตั้งอยู่ในบริเวณมัสยิดบ้านลางา หมู่บ้านเปาะเส้ง ตำบลเปาะเส้ง อำเภอเมือง ฯ ในพื้นที่ประมาณ ๑๐ ไร่ มีอาณาเขตทิศเหนือติดสวนยาง ทิศตะวันตกติดทุ่งนา ทิศใต้ติดสวนยาง เหนือหลุมศพประดับด้วยเครื่อง ครอบคลุมศพ แกะสลักด้วยหินอ่อนเป็นรูปหลังคาและโดม เหนือหลุมศพมีอาคารกว้าง ๗ เมตร สูงประมาณ ๒.๕ เมตร หลังคาทรงลีมะมุงด้วยกระเบื้องดินจากเตาเผากระเบื้องที่เมืองปัตตานี ภายนอกตัวอาคาร มีกำแพงอิฐถือปูนกว้าง ๑๐ เมตร ยาว ๑๐ เมตร ประตูอยู่ทางด้านทิศเหนือ บานประตูทำด้วยไม้แผ่นแข็งแรง
            ภายในกำแพง นอกจากเป็นที่ฝังศพพระยายะลาแล้ว ยังมีหลุมฝังศพของลูกหลานพระยายะลาอยู่ด้วย ส่วนภายนอกกำแพง เป็นหลุมฝังศพของชาวบ้าน บริเวณตำบลนี้เรียงรายอยู่ทั่วทั้งกุโบ
            สำหรับที่ครอบคลุมศพของต่วนสุไลมาน ภาษามลายูเรียกว่า กาแอปอรี มีคำจารึกบนหินอ่อนเขียนเป็นภาษามลายู
            เรือนจำภาคธารโต มีจุดประสงค์เพื่อจัดตั้งเป็นทัณฑนิคม อยู่ในเขตตำบลแม่หวาด อำเภอบันนังสตา มีพื้นที่ประมาณ ๒๕,๐๐๐ ไร่ มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเป็นเขตหวงห้ามเพื่อประโยชน์แก่การราชทัณฑ์ พ.ศ.๒๔๘๐
            จุดมุ่งหมายเพื่อย้ายนักโทษจากที่อื่นมาอยู่เพื่อฝึกหัดวิชาเกษตรให้นักโทษ โดยคัดเลือกนักโทษที่มีเวลาพอจะพ้นโทษ ประมาณ ๔ - ๗ ปี อายุไม่เกิน ๕๐ ปี ร่างกายแข็งแรง และเมื่อพ้นโทษแล้วไม่มีอาชีพอื่นใดและสมัครใจจะอยู่
            ผู้บัญชาการเรือนจำคนแรกคือ นายสงวน  ตุลารักษ์  มีกองงานกระจายอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อทำงาน เช่น ทำงานในโรงเลื่อยเครื่องจักรไอน้ำ ตัดหวายป่า เผาถ่าน เลี้ยงสุกร ทำสวนมะนาว ยางพารา ทำฟืน ทำเหมืองแร่ดีบุก แต่การดำเนินงานไม่ได้ผลเท่าที่ควร จำเป็นต้องย้ายเรือนจำเขตธารโต ไปขึ้นกับเรือนจำประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช ต่อมาได้เลิกไปและโอนให้กรมประชาสงเคราะห์จัดเป็นนิคม

            อุโมงค์เบตง  ตั้งอยู่ที่บ้านปิยะมิตร ตำบลตาเนาะแบเราะ อำเภอเบตง ใกล้กับบ่อน้ำร้อนเบตง เป็นอุโมงค์ที่อดีตโจรจีนคอมมิวนิสต์มลายา (จคม.) ได้ขุดขึ้นเพื่อใช้เป็นที่สะสมเสบียง หลบภัยทางอากาศและเก็บอาวุธยุทโธปกรณ์ อุโมงค์เดิมเป็นอุโมงค์ดิน ขนาดกว้างประมาณสองคนเดินสวนกันได้ ความสูงสูงกว่าศีรษะของคนยืนทั่วไปประมาณหนึ่งฟุต ขุดเจาะเข้าไปในเนินดินที่มีต้นไม้ปกคลุมหนาทึบ มีความยาวประมาณหนึ่งกิโลเมตร มีทางแยกเพื่อเข้า - ออก ได้เก้าทาง  ภายในอุโมงค์บางตอนจะเป็นห้องบัญชาการ ห้องส่งวิทยุท ห้องเก็บอาวุธและห้องพยาบาล เป็นต้น

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |