| หน้าแรก | ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | |
...ช่างร้ายเหลือ ช่างร้ายเหลือ | ...ช่างร้ายเหลือ | คนอะไรไร้ความปราณี |
ช่างร้ายเหลือดี | ภูตผีตนใด | สิงใจเธอนั่น |
ร้ายเหลือใจ | ไยเป็นพราน | ผลาญพรหมจรรย์ |
ช่างร้ายเหลือทัน | เหยียดหยันประณาม | หยามกันเรื่อยไป |
ปากอย่างหนึ่ง | ใจอย่างหนึ่ง | สุดจะหยั่งถึงได้ |
คำ ...จากปาก หากผิดใจ | ใจฉันหมองหม่น | |
ช่างร้ายเหลือเกิน | เพลินตามคำช้ำในใจตน | |
ช่างร้ายเหลือคน | สุดค้นคนใด | ไหนทรามเท่าเอย |
ปากอย่างหนึ่ง | ใจอย่างหนึ่ง | สุดจะหยั่งถึงได้ |
คำ ...จากปาก | หาก ผิดใจ | ใจฉันหมองหม่น |
ช่างร้ายเหลือเกิน | เพลินตามคำ | ช้ำในใจตน |
ช่างร้ายเหลือคน | สุดค้นคนใด | ไหนทรามเท่าเอย... |
ชาตินี้ชาติเดียว
...อัด อั้น ตันอุรา | อกเราเอ๋ยเกิดมา | พบพาแต่ความผิดหวัง |
บาปเคราะห์ไม่สิ้นโผผินประดัง | ชีวิตแสนเบื่อแสนชัง | บางครั้งคิดไปขอตายดีกว่า |
...อัด อั้น ตันทรวงใน | อกเราเอ๋ยผิดใด | หรือต้องสาปไปให้บาปหนา |
ผิดหวังทุกอย่างหมางใจเจียนบ้า | รอยช้ำบนคราบน้ำตา | จะทรมาถึงปานใด |
...หวน คิด ครวญ เทวศ์ | มอง ตัว เหมือน เศษคน จนใจ | |
ไม่เคยคิดแข่งบุญใคร | อกเอ๋ย แปลกใจ | เกิดมาอย่างไรผิดหวังทุกครา |
...อัดอั้น ตันฤดนี้ | อธิษฐาน ชาตินี้ | ขอเพียงชาติเดียว เถิดหนา |
กราบแล้วเทพไทเห็นใจเมตตา | ให้ฉันสิ้นบาปพ้นพา | อย่าตามลามมาชาติหน้าอีกเลย . |
...อัด อั้น ตันฤดี | อธิษฐาน ชาตินี้ | ขอเพียงชาติเดียว เถิดหนา |
กราบแล้วเทพไทเห็นใจเมตตา | ห้ฉันสิ้นบาปพ้นพา | อย่าตามลามมาชาติหน้าอีกเลย.. |
ชายสามโบสถ์
...คำคนประณาม | ชายสามโบสถ์ทราม | ชั่วช้าสามานย์ |
ประนามหญิงสามผัวผ่าน | เป็นคนจันฑาล | ไม่ขอคบพา |
โธ่ เอ๋ย อนิจจา | โกนหัวฝากตัวในศาสนา | แต่คำเขาว่าปวดใจให้คิดทุกที |
มีมารผจญ | สุดแสนจะทน | บวชแล้วจำลา |
จากเรือนเหมือนเสือหนีป่า | มารเสาะตามมา | จองล้างราวี |
บวชแล้วสึกทุกที | เป็นเสียอย่างนี้ แหละพี่น้องเอ๋ย | ดังคำเขาเอ่ย บวชเสียผ้าเหลือง |
ข้าบวชมาแล้วโบสถ์หนึ่ง | ซาบซึ้งได้แทนคุณแม | ค่าน้ำนมแก แทนทดหมดเปลือง |
มารตามทวงหนี้ | มีเรื่องต้องแหกผ้าเหลืองสึกมา | มันฟ้องอุปัชฌาย์แค้นข้ากลัดหนอง |
คนมองข้าทราม | เหยียดหยามหมดดี | ต้องหนีหน้าไป |
เกือบเป็นเสือสางเสียใหญ่ | ข้าต้องกลับใจ | ไหว้พระคุ้มครอง |
บวชซ้ำใหม่ใคร่ปอง | ใจหวังสร้างบุญในโบสถ์ที่สอง | พึ่งธรรมะส่องที่สร้างบาปมา |
ข้าเป็นชายสองโบสถ์ | หากโบสถ์สามนี้ยังไม่แน่ | โลกหมุนปรวนแปรสุดแท้จะพา |
กลายเป็นชายชั่วดังว่า | หวังศาสนากลับใจ | แต่แล้วเหตุไฉนเขาไม่อุดหนุน |
จึงวอนไหว้วิง | ชายหญิงที่ฟัง | ด้วยน้ำตาคลอ |
โปรดจงสงสารขานต่อ | แต่พอข้ามี | บาปเคราะห์ก็บุญ |
ข้าหวังพึ่งพุทธคุณ | เซแล้วอย่าซ้ำย่ำเหยียบจนซุน | ร่มโพธิ์พระอุ่น ข้าขอบวชนาน...จนตาย... |
ชีวามาลา
คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง เอื้อ สุนทรสนานมาลา
ลมโชยโบยมาหอมกลิ่นผกา น่าชื่นใจ ลมโบกโกรกไหวไกวแกว่ง |
หลายพันธุ์มากแย้มบางงามดี สีนวลแซม สอดแกมสีแดงแกมม่วง |
มาลีดอกใดสวยสดชื่นใจ ได้ชื่นชม เคยเก็บเสียบผมจนร่วง |
ฉันชมว่างามเดี๋ยวพลันทราม ช้ำโรยร่วง ดอกใบทั้งปวงโรยได้ |
คิดหวลครวญใคร่ทั่วไป หาได้แน่ กลับกลายเปลี่ยนแปรทุกวันไป |
ดอกไม้ยังโรยเหี่ยวโหยโรยไป เราทิ้งทันใด หล่นอยู่ในกลางดิน |
คนเราเกิดมาแม้นเปรียบมาลา ก็เช่นกัน มีแต่แปรผันกลายสิ้น |
นิจจาเปลี่ยนแปรเดี๋ยวเจ็บและแก่ ผันแปรอาจินต์ ร่างกายฝังดินสิ้นเอย |
ชีวิตกับความรัก
คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน
สิ่งสัมพันธ์ในดวงใจ ชีวิตใด ๆ ในโลกเรานี้ |
สัตว์หรือคนก็ดี ความรักย่อมมีประจำใจ |
โลกหมุนเวียนตามเวลา ความรักมีมาไม่ว่าแห่งไหน |
ไม่พ้นกันไปได้ โลกเป็นฉันใดรักเท่านั้นคงดี |
รักย่อมไม่เลือกคน สูงต่ำมีจนรักคอยปะปนทั่ว |
ความรักไม่เลือกพื้นที่ ในป่าพงพีก็มีตามมา |
รูปสำอางแลงามดี รูปโฉมโทรมทรามน่าเกลียดนานา |
ความรักมีทั่วหน้า จะงามโสภาหรือชั่วช้าน่ากลัว |
โลกของเรายังยืนยง ความรักยังคงตามเกี่ยวพันพัว |
เปรียบเหมือนเงาตามตัว ความรักเกลือกกลั้วอยู่ทั่วไป |
ขาดรักไปคงระทม ชีวิตจะตรมขมขื่นเพียงไหน |
โลกนี้คงอยู่ได้ ด้วยมีน้ำใจรักกันไว้ไม่คลาย |
รักพรากไปจากใคร ว้าเหว่ดวงใจหมองมัวทวีไปมิวาย |
ชีวิตก็คงเหงาตาย ใครอยู่เดียวดายจะตายเร็วไว |
สิ่งสามัญธรรมดา ถึงแม้ราชายาจกทั่วไป |
เศรษฐีผู้ดีไพร่ จะไปหนใด หนีไม่พ้นรักเอย |
ชีวิตกับความหลัง
คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน
คนเรามีกรรมมั่น เกิดมาต้องฝันด้วยกันทุกคน |
ย่อมลำเค็ญเพราะเป็นคน วันหนึ่งคงดลผลไกล |
ชะตาเวรกรรมซ้ำร้าย บุญกลับกลายขาดหายเมื่อไร |
ดวงชีวันน้อย ๆ ลอยไป ลมหายใจสิ้นพลัน |
เกิดมาทุกคนชาตินี้ ทุกคนอยากดีด้วยกัน |
ต่างมีหวังมั่นทุกวัน ผูกพันมั่นหมาย |
เมื่อความหวังพลาดขาดผล ฝืนใจสุดทนความอาย |
เกิดความแหนงหน่าย ฉันตายยังดีเสียกว่า |
หากเรื่องหวังไม่คลายหายคืน ชุบชูใจชื่นชักพา |
เปรียบปานหยาดธารใหลมา ชะโลอุราเร้าดวงใจ |
เมื่อหมดหวังที่คอยหา ฉันคงต้องลาโลกไป |
เกิดมาเสีใหม่คงสมใจ กว่าในชาตินี้ |
ชีวิตกับดอกไม้
คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง เอื้อ สุนทรสนานมาลา
ดอกไม้ที่ในโลกนี้ เรารู้ได้อย่างดี ว่างามสดสีทั้งนั้น |
ปวงมาลีมากมีมากมายต่างพรรณ สวยงามทั่วกัน เพื่อความสัมพันธ์ชื่นชม |
บุบผามาลีประดับความงาม หาใช่เพื่อเลวทราม แต่มีเพื่อความนิยม |
บุบผามาลีมีไว้ดูและตม ไว้ชะโลมอารมณ์ ไว้เพียงให้ชมนาน ๆ |
ดอกไม้ที่ในโลกนี้ แจ่มใสอยู่ด้วยดี และงามสดสีสะอ้าน |
ปวงมาลีเกิดมาเพื่อความเบิกบาน เล้าโลมวิญญาณ เพื่อความสำราญทุกโมงยาม |
ดอกไม้สอางค์ต่าง ๆ นานา ล้วนแต่เพียงเกิดมา เพื่อความสดชื่นสวยงาม |
โลกหมุนเวียนวนไปกี่หนก็ตาม ทุกนาทีโมงยาม ทวีแต่ความงามครัน |
เมื่อนึกถึงตามธรรมดา ชีวิตเราเกิดมา ก็มีปัญหาทั้งนั้น |
อันคนเราเกิดมาเพื่อสิ่งใดกัน หมุนเวียนแปรผัน เปลี่ยนไปทุกวันตามวัย |
ชีวิตคนเราผิดกับมาลี เพราะว่าปวงมาลี สดชื่นด้วยเสมอไป |
มนุษย์เราเกิดมาในโลกเพื่ออะไร ทุกวันระทมตรมใจ หรือเพื่อสุขใจแน่เอย |
โชคมนุษย์
โชคมนุษย์นี้ไม่มีที่แน่นอน ประเดี๋ยวเย็นประเดี๋ยวร้อนช่างแปรผัน |
โชคหมุนเวียนเปลี่ยนไปได้ทุกวัน สาระพันหาอะไรไม่ยั่งยืน |
ชีวิตเหมือนเรือน้อยล่องลอยอยู่ ต้องต่อสู้แรงลมประสมคลื่น |
ต้องทนทานหวานสู้อมขมสู้กลืน ต้องจำฝืนสู้ภัยไปทุกวัน |
เป็นการง่ายยิ้มได้ไม่ต้องฝืน เมื่อชีพชื่นเหมือนบรรเลงเพลงสวรรค์ |
แต่คนที่ควรชมนิยมกัน ต้องใจมั่นยิ้มได้เมื่อภัยมา |
ดอกทานตะวัน
ดอกเอ๋ยดอกทานตะวัน ผิวพรรณเหลืองอร่ามงามหนักหนา |
งามเชิดชูบานตระการตา งามสง่าแง่เงื่อนเตือนใจตรอง |
มวลดอกไม้หลายหลากหากถูกแสง อาทิตย์แรงร้อนเร่าย่อมเศร้าหมอง |
คงมีแต่ตะวันอันเรืองรอง สู้หน้ามองตะวันมิพรั่นเอย |
น้ำเอยน้ำใจ ควรผูกมิตรไว้ให้มั่นไม่หวั่นหวาม |
มิใช่เคยแสวงสุขทุกโมงยาม แล้วเมื่อความทุกข์คลายวุ่นวายครัน |
ต้องหัดให้ใจยงมั่นคงสู้ แม้จะรู้ว่าทุกข์สุขสันต์ |
หันหน้ารับเหตุการณ์ทุกด้านพลัน เหมือนดังหนึ่งทานตะวันฉะนั้นเอย |
ดอกบัวไทย
หอมดอกบัวไทย แลวิลัยสวยเด่นเป็นขวัญ |
หญิงเราเช่นนั้น เทียบกันแล้วเราเหมือนดอกบัวบาน |
สงวนศักดิ์สงวนตัว ควรนึกกลัวเขาจะเหยียดหยาม |
สาวเพียงครู่ยาม หญิงงามเพราะความรักเกียรติศักดิ์ไทย |
ดูดอกบัวตูม เรานี้ยังภาคภูมิและไว้ใจ |
สูงเหนือน้ำเมื่อไร นั่นแหละจึงแย้มกลีบเบ่งบาน |
เห็นชาติเผ่าพันธุ์ เป็นสัมพันธ์ด้วยเกิดใจสมาน |
รักจะชื่นบาน ด้วยการรักไทยนั่นอยู่ตลอดไป |
ดอกฟ้าร่วง
ดอกเอยดอกฟ้า ดอกไม้เทวา ดอกฟ้างามครัน |
ดอกฟ้าลาวัณย์ ชาวฟ้าพากัน ต่างฝันฝักใฝ่ |
แต่ปองดอกฟ้า เป็นของเทวา ชาวฟ้าพอใจ |
ความรักอาลัย ดอกฟ้าเต็มใจ รักจะให้ดินชม |
แต่เกียรติดอกฟ้า อยู่สูงเกินกว่า ย่อมพร่าตัวตรม |
ดินชมจะสม ควรเพียรสอยชม อย่าข่มเกียรติหม่น |
หากดินนำพา ไม่สอยลงมา ดอกฟ้าใจจน |
ดอกฟ้าเมืองบน อยู่สูงเกินคน ไหนจะหล่นโรยลง |
ดอกเอยดอกฟ้า ดอกไม้เทวา อยู่ฟ้าสูงส่ง |
ลดใจรักลง ตัวนั้นไม่ปลง ทิ้งวงศ์เหิรมา |
อกดินรำพัน ใช่ชั้นเดียวกัน ศักดิ์สวรรค์ต่ำกว่า |
แหงนมองสองตา ไม่โน้มลงมา สุดมือจะคว้าชมใจ |
มองสูงส่งเกินตา เอื้อมมือสูงกว่าใดใด |
ต่อตายแล้วเกิดมาใหม่ ร้อยพันชาติใด ไฉนได้แต่คอย |
หากว่าดอกฟ้า ไม่โน้มลงมา จากฟ้าสักหน่อย |
หวังดินเหิรลอย ดินนั้นจะคอย จะลองเอื้อมสอยดูที |
ดอกไม้กับแมลง
คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง เอื้อ สุนทรสนานมาลา
ดอกไม้แรกบาน รูปคราญหอมยวนใจ กลิ่นจรุงฟุ้งไกล หอมอวลอบพื้นดิน |
กลิ่นหอมปานใด ย่อมยั่วใจผองภุมริน วนเวียนวกบินอย่างยินดี |
ชมชิมลิ้มจน อิ่มเอมน่าเปรมปรีดิ์ ชิมลองของดี พอเสื่อมศรีก็หนีเลย |
สิ้นรสสิ้นชม สิ้นอารมณ์สมใจเชย บินไปลับเลย เจ้าไม่เคยคิดอาลัย |
ห่างเหินเมินจากไกล ทอดทิ้งไปไม่กลับมา |
ดอกไม้แรกบาน เปรียบก็ปานสาวแรกรุ่น ผลินวลละมุน เนื้อนวลนุ่มโสภา |
แรกสาวแรกงาม แรกก่อความเย้าอุรา เหล่าชายหมายตาอยากจะลอง |
แมลงเหมือนชาย คอยกร้ำกรายใคร่ครอบครอง พอชมสมปอง ชายก็มองข้ามหัวใจ |
สิ้นสาวซูบโทรม ถูกลูกโลมสาวเศร้าใจ พรหมจรรย์เสียไปไม่มีใครเขานิยม |
สิ้นสาวก็สิ้นชม สิ้นภิรมย์ตรมอยู่เดียว |
ดอกไม้ใกล้มือ
คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง เอื้อ สุนทรสนานมาลา
มวลเหล่าดอกไม้ใกล้มือ เป็นสื่อให้คนเด็ดถือชมเชย |
เจ้าอยู่ในที่เปิดเผย เขาใคร่เชยเห็นเจ้าก็เลยเด็ดมา |
คนเด็ดก็เพราะมันใกล้ ใครใกล้เด็ดไปสมอุรา |
บานล่อใจใครจะรู้ว่า ต่างปรารถนาจะได้ชม |
ทิ้งไว้หมองไหม้เสียเปล่า ขืนปล่อยเจ้าผึ้งไม่เคล้าก็เฉาด้วยลม |
ทิ้งไปให้ตรมเหยื่อผึ้งเหยื่อลม ให้คนเขาชมดีกว่า |
ดีกว่าจะทิ้งคาต้น โรยหล่นผู้คนไม่เห็นราคา |
เจ้าใกล้มือเจ้าต้องถือว่า ไม่ใช่ดอกฟ้าที่อยู่ไกล |
ดอกราตรี
ดอกเอ๋ยดอกราตรี ไม่มีสีสวยสดงดงามหรู |
จึงมิใคร่มีใครใฝ่ใจดู หรืออยากรู้ว่าแฝงอยู่แห่งใด |
ครั้นค่ำคืนชื่นชมอารมณ์ฉ่ำ กลิ่นเจ้าพร่ำเตือนจึงนึกถึงได้ |
โอ้ราตรีนี้หนาน่าเห็นใจ กลิ่นกล่อมให้นอนชื่นทุกคืนเอย |
ความเอ๋ยความดี มิได้มีใครรู้สึกสำนึกถึง |
แม้นทำไว้เท่าใดคนไม่พึง ปรารภนาจะคำนึงให้ป่วยการ |
หากถึงคราวดับแค้นแสนทุกข์เข็ญ จึงจะกลับแลเห็นเป็นแก่นสาร |
เหมือนราตรีมีกลิ่นประทินบาน จะรู้รสหอมหวานต่อค่ำเอย |
| หน้าแรก | ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน | |