| หน้าแรก | ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |

พระราชหัตถเลขาภาษาอังกฤษ  พระราชทานไปยัง
มิศเตอร์ ทอมาส ยอช นอกส  กงสุลอังกฤษประจำกรุงเทพ ฯ
ปีขาล  พ.ศ.  ๒๔๐๙
หม่อมเจ้าทรงวุฒิภาพ  แปล

                                                                                                                                                      ที่ประทับ
                                                                                                                                              พระบรมมหาราชวัง
                                                                                                                          วันที่ ๑๕ มิถุนายน  พระพุทธศักราช  ๒๔๐๙

ถึงมิศเตอร์ ทอมัส ยอช นอกส์  (กงสุลอังกฤษประจำกรุงสยาม)
            หนังสือของท่านลงวันที่ ๑๑ เดือนนี้........ ข้าพเจ้าพึ่งได้รับเยนวันนี้
            ข้าพเจ้าเสียใจที่ได้รับจดหมายฉบับหลังช้าไป  ภายหลังเรือที่ออกจึงเสียโอกาสที่จะตอบรับ.....
            จดหมายจากพลเรือโท ยอช กิง กล่าวถึงการสวรรคต  สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่ ๒  คือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว  ตอบหนังสือฉบับหลังของข้าพเจ้า ที่ได้บอกข่าวการสวรรคตไปให้ทราบ  หนังสือของนายพลเรือโท ยอช กิง นั้น  ข้าพเจ้าได้ส่งไปให้ตั้งที่น่าพระโกษฐ์พระศพของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่ ๒  ให้ปรากฎเกียรติซึ่งผู้เขียนแสดงต่อผู้เสด็จสวรรคต.....
            อนึ่งข้าพเจ้าได้ส่งก๊าดเชิญในงานเษกสมรส  มาพร้อมกับจดหมายฉบับนี้สำรับหนึ่ง  ให้นายพลเรือโท ยอช กิง  ผู้เคยคุ้นเคยกับตัวข้าพเจ้าแลลูกชายใหญ่ของข้าพเจ้า  ซึ่งเปนบิดาของเจ้าบ่าวแลลุงของเจ้าสาว  ข้าพเจ้าขอให้ท่านช่วยจัดส่งไป ฯ
                                                                                                                               ส.พ.ป.ม. มงกุฎ  ป.ร.ส.

                                                                                   เปนวันที่ ๕๔๘๐ ในรัชกาล
 

พระราชหัตถเลขาภาษาอังกฤษ พระราชทานไปยัง
มิศเตอร ทอมาส ยอช นอกส  กงสุลอังกฤษประจำ ณ กรุงเทพ ฯ
ปีขาล  พ.ศ.  ๒๔๐๙
พระองค์เจ้าธานีนิวัต แปล

                                                                                                                                           พระบรมมหาราชวัง  กรุงเทพ ฯ
                                                                                                                                วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๑๘๖๖
แจ้งความมายัง นายคน๊อกซ  กงสุลอังกฤษประจำประเทศสยาม
            วันรุ่งขึ้นจากที่เรือ  "เจ้าพระยา"  เข้ามาถึงครั้งสุดท้าย..... ข้าพเจ้าได้รับหมายของท่านลงวันนั้น  จากพระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์  นำส่งจดหมายของท่าน เออร์ล แห่ง แคล เรนดอน ฉบับหนึ่ง  ลอรด แคลเรนดอล กล่าวในจดหมายฉบับนั้นว่า  บัดนี้เขาได้ออกจากตำแหน่ง เสนาบดีว่าการต่างประเทศอังกฤษ  แลผู้รับตำแหน่งใหม่คือ ลอรด แสตนเลย์  บุตร ลอรดดารบี  อัครมหาเสนาบดีคนใหม่นั้น  ในตอนท้ายจดหมายมีความด้วยว่า  "ข้าพระองค์ยินดียิ่งนักที่ได้ทราบว่า  พระองค์ทรงยกย่อง นายคน๊อกซ กงสุลอังกฤษว่า" "ดูจะหวังดีต่อประโยชน์ของสยามโดยจริงใจ  ดุจเขาหวังดีต่อประโยชน์ของอังกฤษในกรุงสยามนั้น"  อนึ่งขอขอบใจท่านด้วยที่เล่ามา..... ในจดหมายฉบับลงวันที่ ๑๘ ในเรื่องสงครามปัจจุบันในยุโรป  กับสงครามที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้ด้วย.....
            ข้าพเจ้าขอขอบใจอย่างยิ่ง ในการที่ท่านได้แนะนำช่วยเหลือ เจ้าพระยาศรีสุริยวงค์  สมุหพระกระลาโหม  ในเรื่องสุราเกี่ยวข้องกับฝรั่งเศส ฯลฯ  ร่างจดหมายที่เจ้าพระยาศรีสุริยวงค์มีไปนั้น  ถูกใจข้าพเจ้าแล้ว
            ในเรื่อง เสอร จอน เบาว์ริง  ซึ่งมีอายุชรามากถึง ๗๕ ปี แล้วนั้น  ข้าพเจ้ายังสงไสยนักว่า  เขาจะสมัครับราชการไปตามราชสำนักต่างประเทศได้หรือไม่..... อนึ่ง นายปารเกอร์  แฮมมันต์  ซึ่ง เสอร จอน เบาว์ริง เคยแนะนำให้ข้าพเจ้ารู้จักครั้งหนึ่ง  ในคราวที่จะรับตั้งเปนข้าหลวงของฉัน  ไปในการพิพิธภัณฑกรุงลอนดอนใน ค.ศ. ๑๘๖๒ นั้น  ได้เขียนจกหมายมาบอกว่า เสอร จอน เบาว์ริง..... แต่บัดนี้ออกนอกราชการรัฐสภาแล้ว  จนได้ไปช่วยรัฐบาลฮะวายเจรจาทำสัญญาทางไมตรี  กับนานาประเทศในยุโรป  ด้วยความชำนิชำนาญได้ผลเปนอย่างดีทั้ง เสอร จอน เบาว์ริงเอง  ก็เขียนจดหมายมาถึงฉัน.....
            จริงอยู่ข้าพเจ้าได้อ่านจดหมาย..... รวมใจความกล่าวหรืออวดว่า (เสอร จอน)  มีความชำนาญแต่ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ไม่เชื่อได้เลนว่า  เขากล่าวเช่นนั้นด้วยความตั้งใจจะช่วยฝ่ายเรา  โดยนัยเดียวกันกับที่ได้ช่วยรัฐบาลฮะวาย..... และสงไสยด้วยว่า  รัฐบาลอังกฤษจะยอมให้เขามารับราชการของข้าพเจ้าเช่นนั้นหรือ  ข้าพเจ้ามีสิทธิหรือที่จะมาตั้งแต่งเขาเช่นนั้น  รัฐบาลของสมเด็จพระบรมราชาธิราชฝรั่งเศส  ซึ่งมีความปราถนาเปนอย่างอื่น  ก็จะรับรอง เสอร จอน ว่าเปนทูตของข้าพเจ้าหรือ  อันความสงไสยทั้งนี้ ท่านจะอธิบายมาให้ทราบโดยจดหมายเฉพาะตัวได้หรือไม่ ?

แต่ข้าพเจ้าผู้เปนมิตรแท้
(พระบรมนามาภิไธย) ส.พ.ป.ม. มงกุฎ ร.ส. (ราชาแห่งสยาม)
ณ วันที่ ๕๕๘๗ ในรัชกาล
 

พระราชหัตถเลขา ภาษาอังกฤษ พระราชทานไปยัง
มิศเตอร์ ทอมาส ยอช นอกส  กงสุลอังกฤษประจำกรุงเทพ ฯ
ปีขาล  พ.ศ. ๒๔๐๙
พระองค์เจ้าธานีนิวัต แปล

                                                                                                                                                       พระบรมมหาราชวัง
                                                                                                                                             วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๑๘๖๖
แจ้งความมายัง นายคน็อกซ
            ด้วยได้รับจดหมายของท่านลงวันนี้ เมื่อค่ำนี้
            ข้าพเจ้าใคร่จะขอตอบว่า  หมู่เกาะแสนด์วิชนั้น  แม้เปนประเทศเล็กน้อยก็จริง  แต่บุคคลผู้หนึ่งในนี้กล่าวว่า  ชาวยุโรปและอเมริกา  เห็นมีค่ากว่ากรุงสยามอีก  ด้วยพระเจ้าแผ่นดินและราษฎรในที่นั้น ได้เข้ารีดเปนคริสตัง  และซิวิไลยส์ก่อนคนไทย  แล้วยังซ้ำพระราชาหรือพระราชินีแห่งเกาะนั้น  ได้เสด็จไปประเทศอังกฤษ และเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินีกรุงอังกฤษ ด้วยพระราชินีและรัฐบาลอังกฤษคงจะนับถือเธอเช่นเดียวกันกับ อาบูบะกะ  ตะมะบูกง  ศรีมหาราชาแห่งยะโฮร ซึ่งกล่าวกันว่า ได้ออกจากยโฮรไปประเทศอังกฤษไม่ช้านานมาแล้ว
            คนหลายคนที่นับถือศาสนาคริสตัง เช่น  ดร.ดี.บี. แบรดเลย์ ฯลฯ  ยังกล่าวด้วยว่า  รัฐบาลและประชาชนชาวฮะวายนั้นดีกว่าไทย ในข้อที่เมื่อตายแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์  ส่วนใหญ่นั้นยังมัวมนธิ์อยู่มาก  พระเจ้าแผ่นดินและราษฎรแทบทั้งหมดก็เปนมิจฉาทิฏฐิ
            เรื่องเจ้าเมืองระแหง  เมื่อย้ายไปเมืองกำแพงเพชร์ แล้วนั้น  จึงได้ปรึกษาและขอความเห็น กรมหลวงวงษาธิราชสนิท  เพราะเธอคุ้นเคยเมืองเหนือและราษฎรแถบนั้นดี  ทั้งรู้จักราชการฝ่ายเหนือดีด้วย ฯ

(พระบรมนามาภิไธย)
 

พระราชหัตถเลขา ถึงนายพุ่ม  ขุนสมุทโคจร
ปีเถาะ  พ.ศ. ๒๔๑๐

            จดหมายมายังนายพุ่ม  ขุนสมุทโคจร ให้รู้  ข้าพิเคราะห์ดูคนที่ไปกรุงปารีศจากกรุงเทพ ฯ ครั้งนี้  แลคนที่ปารีศซึ่งเปนฝักฝ่ายข้างสยาม  ดูก็เปนพวกเปนเหล่าไปไม่ใคร่กลมเกลียวกัน..... กับตันดานิเยนวินเซอ  บอกเข้ามาสรเสริญ นายพุ่ม  ขุนสมุทโคจร  นายน้อย  ขุนชำนาญ  หมื่นวิจิตรกับตัวเองว่าเข้าพวกกลมเกลียวกัน  แลว่าไทยสามคนนี้ดีไม่มีที่ติเตียนอะไร..... แลข้างฝรั่งเศสก็สรเสริญพระสยามธุรานุรักษ์  ว่ากล้าหารเข้าไหนเข้าได้  เผดทูลร่ำเรียนเสนาบดีได้  แลใจดีติดอ่านให้เปนคุณข้างไทย  ไม่มีใครเสมอทั้งกรุงปารีศ  จะหาคนอื่นให้ดีไปกว่าไม่มี  แต่พระยาสุรวงษ์นั้น กับตันดานิเยนกล่าวโทษว่า..... เชื่อถือแต่บาดหลวงลุวิศ..... ฝ่ายขุนรัตนานุจิตร นายห้างช่างทองนั้น ก็บอกยกความชอบตัวมาว่า  ตัวช่วยเดินเหินวิ่งเต้นมาก  เขาเห็นแก่ตัวเขาจึงรับทูตสยาม  เพราะตัวได้ช่วยดูแตรที่ไปจากกรุงเทพ ฯ ก็เข้าพวกขุนรัตนานุจิตร  บอกมาที่คุณศรีสุริยวงษ์  ว่าขุนรัตนานุจิตรไปขู่ว่า  ถ้าไม่รับทูตสยาม ๆ  ก็จะไปเมืองอังกฤษ  เขาก็จะไปเอาอำนาจอังกฤษมาถุ้งเถียง  จะต้องลำบากมากไป แลว่าพระสยามธุรานุรักษ์  เปนแต่คนต้องรุต้องถอด  เก่านอกเศษนอกเลยสิ้นคิดแล้ว  จึงมาประจบเปนกงสุลไทย  เข้าไหนไม่ได้ไม่มีใครเขาพูดด้วย  ฝ่ายพระสยามธุรานุรักษ์ก็ยกความชอบตัว แลมองติดนีแลบาดหลวงลุวิศว่า  ได้ช่วยขวนขวายเขียนหนังสือโต้แย้งมีนิศเตอ เปนอันมาก.....
            ฝ่ายพระยาสุรวงษ์บอกกล่าวมาก็สรเสริญ  แต่มองติคนีกับบาดหลวงลุวิศ  พระสยามธุรานุรักษ์ติว่า พูดเจรจาอะไรฟังเปนเสียงหีบฝ้ายไป  แต่พวกไทยที่ไปอยู่นั้น  พระยาสุรวงษ์บ่นอยู่ว่าเปลืองเงินเปล่า ๆ  จะให้กลับมาเสีย..... การทูตนั้นตลอดจนได้เฝ้าแอมเปรอถวายพระราชสาส์นได้ดังนี้  ข้าก็เปนสบายใจอยู่แล้ว  การจะได้ดังประสงค์  ฤาไม่ได้ดังประสงค์ก็สุดแต่ปัญญาแอมเปรอ  ถ้าแอมเปรอจะว่าผิด ๆ ไป โกง ๆ ไป  ข้าเข้าใจว่าความอายไม่ตกอยู่แก่ข้า  จะต้องตกอยู่แก่แอมเปรอเอง  เพราะเมืองเราเปนเมืองน้อยจะรู้ที่ทำอย่างไร  แต่การทูตที่ไปว่ากะไรก็เซงแซ่มีฉาวแล้วใคร ๆ เขาก็รู้ดูทีความคิดเดิมของมินิศเตอ  จะทำตามกงสุลออบาเรตยุยงว่าอย่าให้รับทูตสยาม  เพราะไปผิดธรรมเนียม  ไม่ได้บอกล่วงหน้าไปขอให้ยอมรับก่อนให้ทำเฉยเสีย  ก็ความคิดนี้เปนความสู้โกง ๆ นอกเรื่อง  เหนจะถูกนินทามากเข้า  จึงกลับใจรับ..... ข่าวกับตัน  ดานิเยนวินเซอว่าได้ยินคนพูดกันว่า  คอเวอนเมนฝรั่งเสศ  จะมาเรียกตัวกงสุลออบาเรตให้กลับไปก่อนสิ้นออคัสต์  เพราะข้ารู้ว่ากงสุลออบาเรตมาทำการเกิน..... เพราะชตาเมืองไทยเปนอย่างนี้  คนต่างประเทศใครดุเกะกะนัก (มักได้มาเปนกงสุล) ก็เปนอย่างนี้มาหลายคนแล้ว  อย่าทำให้ข้างโน้นข้างนี้เปนถ้อยเปนความยุ่งยิ่งไป ฯ
            จดหมายมา ณ วัน.......... ปีเถาะ  นพศก
 

พระราชหัตถเลขา ถึงกรมหมื่นอมรมนตรี

            กราบทูลมายังกรมอมรมนตรี  ให้ทราบ  เรื่องโต๊ะเงินที่รับสั่งนั้น  ความสัตยความจริง  กระหม่อนฉันไม้ได้ทราบด้วยเลยแต่ต้นจนจบ  เมื่อกรมขุนธิเบศบวรประชวร..... จำได้แต่วันกระหม่อนฉันไปเยี่ยมประชวรเวลาหนึ่ง  ท่านสั่งความสองข้อ  ข้อหนึ่งว่าวัดที่ทำค้างอยู่ที่หลังวังนั้น  ทั้งที่วัดและของทำค้างยกให้เปนของกระหม่อมฉัน  กับสั่งว่าเงินของท่านค้างอยู่ที่พระองค์เจ้าดารา ๒๐๐ ชั่งเศส  ให้กระหม่อมฉันไปทวงเอามาทำวัด  กับอีกข้อหนึ่งว่า  พานหมากเสวยเครื่องยศนั้น  เปนเครื่องเดิมของกรมพระราชวัง ฯ..... อย่าให้กระหม่อมฉันให้เจ้านายอื่นไป  ให้เอาไว้ใช้เปนเครื่องต้นข้างใน  เปนที่รฦกถึงพระเดชพระคุณกรมพระราชวัง ฯ สืบไปเถิด..... กระหม่อมฉันก็เปนผู้มีเคารพต่อเจ้านายพี่น้อง..... ไหน ๆ หม่อมเจ้าพวกนั้นก็มีมานะ ถือว่าทรัพย์สินสิ่งของกรมขุนธิเบศบวร เปนทรัพย์ของบิดา เปรียบความตามฝ่ายกระหม่อมฉัน  เหมือนพระราชทรัพยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  กระหม่อมฉันก็ไม่ได้เอามาใช้ประโยชน์ของตัวแลบุตรภรรยาเลย  เมื่อท่านจะสวรรคตท่านทรงเขียนพิไนยกรรม์ พระราชทรัพย์หมื่นชั่ง  ให้จ่ายพระอารามที่ค้าง  เหลือสามหมื่นชั่งถวายแก่พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่  ทองคำร้อยชั่งให้แผ่ทำเปลวปิดพระอารามที่ค้าง เหลือนั้นให้เปนของพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่  ก็ตัวกระหม่อมฉันเข้ามาเปนพระเจ้าแผ่นดิน  ตามที่ท่านผู้รับสั่งมีชื่อในพิไนยกรรม์นั้น  คือเจ้าพระยาพระคลัง  พระยาศรีพิพัฒน์  พระยาราชสุภาวดี  ปฤกษากับเจ้านายขุนนาง  เลือกผู้ที่เนื่องใน  พระราชวงษานุวงษ์  หนุ่มฤาแก่ปานกลางเปนเจ้าแผ่นดินต่อไปเถิด  ก็เพราะท่านทั้งสามนั้นเลือกกระหม่อมฉันเข้ามา  จึงได้เปนเจ้าแผ่นดินอยู่  แต่เพราะรู้ว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  ท่านไม่ได้เลือกกระหม่อมฉัน  เฉพาะตัวโดยตรง  ก็ไม่ได้ว่าจะถือเอาพระราชทรัพย์ของท่านเปนมรฎกได้  ของทั้งปวงก็ยังเปนของกลางแผ่นดินอยู่หมด  ได้จ่ายไปแต่รายการของวัด  ก็เจ้านายซึ่งเปนลูกหลานของท่าน  กระหม่อมก็รับเลี้ยงเกื้อหนุน  ให้ปันสิ่งของต่าง ๆ แลเงินทองไปเปนอันมาก  นอกจากเบี้ยหวัดเงินเดือนก็กว่าพันชั่งเศสแล้ว  ความนี้เปนความสัตย์  ความจริง  โปรดสืบดูก็ทราบ..... ตัวกระหม่อมฉันเข้ามาอยู่ในที่ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  ถึงตัวไม่ได้รับมรฎกของท่าน  คนทั้งบ้านทั้งเมืองเข้าก็เข้าใจว่าเปนผู้มารับ  ก็ต้องเลี้ยงเจ้านายพวกนั้นไป  เพื่อจะให้เปนเยี่ยงอย่างแบบแผนไปได้  ก็จะได้เปนเกียรติยศแก่ตัวกระหม่อมฉัน กราบทูลมานี้เปนความจริงใจ

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
 

พระบรมราชโองการให้กราบทูลกรมหมื่นบวรรังษี
(สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ)

            มีพระบรมราชโองการให้กราบทูลกรมหมื่นบวรรังษี  แลเผดียงพระราชาคณะถานานุกรมเปรียญ แลอันดับ ที่จัดสันมาบิณทบาตรเวรทั้งเจดเวรว่า  ของในการพระราชกุศลในการพระศพครั้งนี้  พระสงฆ์ราชาคณะแลเจ้าพระเจ้าเณรแลพระครูมีนิตยภัตร  ก็ได้ไตรยหมดทุกรูป..... จีวรสบงย่ามสำรับหนึ่งไม่ได้ซื้อแต่วัดด้วยราคาเยาที่เรียกว่าเช่านั้นเลย  เปนของลงทุนทำทั้งสิ้น  คิดราคาสำรับหนึ่งเปนเงินสิบสลึง.....
            ราชตระกูลก็มีอุปการะแก่พระสงฆ์มาก  อื่น ๆ ยกเสียเถิด คิดแต่นิตยภัตรพระราชาคณะผู้ใหญ่ รูปหนึ่งเดือนละ ๕ ตำลึง  ปีละสามชั่ง..... พระปลัดตำแหน่งใหญ่เดือนละ ๓ ตำลึง  ปีละสามสิบหกตำลึง  พระครูบางองค์เปรียญเจดประโยคเดือนละสิบบาท  ปีละสามสิบตำลึง..... เปรียญสามประโยค  แลถานานุกรมสามัญ  แลพระสงฆ์อนุจรในอารามหลวง  เดือนละสองสลึง  ปีละหกบาท  จำนวนมีนิตยภัตรบันดาศักดิ์  แลมีนิตยภัตรสามัญก็เปนอันมาก  เดือนหนึ่งถึง ๕๐๐๐ รูปเสศ  เงินจ่ายเดือนหนึ่งเจดสิบชั่งขึ้นไป..... ปีหนึ่งถึงพันชั่งเสศ..... ข้าราชการฝ่ายคฤหัสถ์เข้ามารับราชการในวังเหนดเหนื่อย..... แต่เมื่อวันรับเบี้ยหวัด  ถึงกระนั้นก็ได้น้อยกว่าพระสงฆ์โดยมาก.....
 

พระราชหัตถเลขา พระราชทานไปถึงพระองค์เจ้าปัทมราช
ที่เมืองนครศรีธรรมราช
ปีวอก  พ.ศ. ๒๔๐๓

            จดหมายมายัง  พระองค์เจ้าปัทมราช  เจ้าอาว์  เจ้าน้า  ให้ทราบด้วยนาย..... ถือหนังสือรับสั่งของเสด็จกับหนังสือโต๊ะเพง แลพระพุทธรูปที่เรียกว่าพระพุทธสิหิงค์ กับสิ่งของต่าง ๆ  แลเงินตรา ๑๔ ชั่ง  เข้ามานั้น  ได้ส่งกระหม่อมฉันแล้วแต่เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๐ ค่ำ..... แต่เงิน ๑๔ ชั่ง  ยังสงไสยอยู่ยังไม่เข้าใจ  ถ้าเปนเงินส่วยแต่ตังเลขเปนส่วนกลาง  ก็เห็นว่าไม่ควรเอามาส่งแก่กระหม่อมฉัน ๆ ไม่ควรจะรับไว้  ด้วยส่วยรายนั้นเปนเงินท้องพระคลัง  ควรจะให้หัวเมืองบอกส่งมายังกรมพระกลาโหมตามเคย  กรมพระกลาโหมจะได้นำมาส่งต่อ  พนักงารพระคลังมหาสมบัติ  ถ้าจะส่งให้ผิดทางนี้ไป  หัวเมืองแลกรมพระกลาโหมเขาก็ตั้งค้างไว้  ถ้าเงินรายนี้เกิดแต่ตัวเลข ซึ่งเปนส่วนของเสด็จ ๆ ทรงพระเมตตาประทานให้กระหม่อมฉัน ๆ ก็คิดพระเดชพระคุณเปนอันมากแล้ว  แต่เห็นด้วยเกล้า ฯ ว่า  ตัวกระหม่อมฉันก็ไม่ยากจนค่นแค้นขัดสนดอก  จะประทานหม่อมฉันหาต้องการไม่.....
            อนึ่งโขลนสองคนที่กระหม่อมให้ไปอยู่ตามเสด็จนั้น  ครบขวบปีแต่เดือน ๙ แล้ว  โปรดถามเขาดูถ้าเขาจะใคร่กลับมา  ก็จงบอกมาให้ทราบ  จะได้จ้างคนอื่นออกไปอยู่ตามเสด็จ..... แล้วจะคิดเงินเดือนที่เขาอยู่เกินขวบปีนั้น ให้เดือนละ ๔ บาท ก็ได้..... ปีนี้กระหม่อมฉันมีบุตรชายอีก ๒ คน บุตรหญิง ๑ .....
            หญิงคนหนึ่งนั้นชื่อสุนันทากุมารีรัตน์.....
        ....................
            ข่าวช้างเผือกที่เมืองยโสธรนั้น  พระกำแพงเจ้ากรมช้างได้ขึ้นไปตรวจดู..... ช้างนี้เปนช้างเผือกอย่างเอก  เหมือนพระยาเศวตไอยรา  พระยาเศวตกุญชร  พระยาเศวตคชลักษณ์  พระเทพกุญชร ๔ ช้างนั้นเปนแน่แล้ว  แต่ปีนี้ฝนชุกมากน้ำก็มากกว่าปีหลังเกือบสองศอก  จนบัดนี้น้ำที่กรุงเก่ายังทรงอยู่ไม่ลด  ครั้นให้รีบเดินมา  ก็เห็นว่าทางยังจะเปนน้ำเปนโคลน  เพราะฉะนั้นฉันเห็นว่าจะรับมาถึงกรุงได้โดยสดวก  ต่อปลายเดือนสาม  ฤาต้นเดือนสี่
        ....................
            เรื่องความที่โต๊ะเพงบอกมากราบทูลเสด็จนั้น ก็ได้อ่านทราบความแล้ว  ซึ่งตงกูสะหะขึ้นมาที่เมืองนครศรีธรรมราชนั้น  กระหม่อมฉันได้ถามคุณศรีสุริยวงษ์แล้ว  ท่านว่าท่านไม่ทราบเลย..... แต่ได้ยินว่าตงกูสะหะนั้นเปนคนสูบฝิ่นงอม..... กระหม่อมฉันเคยติเตียนแขกที่สูบฝิ่น..... แลเมืองกปังปาสูนั้น  บัดนี้ไม่ได้แก่ตงกูมัสหมัด  ตงกูสะหะหลานตงกูนุ่ม  ซึ่งเปนพระยากบังปาสูนั้นแล้ว  เมืองนั้นกระหม่อมฉันได้มอบยกให้แก่พระยาไทรเสียแล้ว ก่อนแต่หนังสือของเสด็จมาถึง  การเปนเสร็จแล้ว
        ....................
            การที่เมืองจีนเดี๋ยวนี้วุ่นวายนัก ซื้อขายไม่เปนปกติ  จะสั่งของก็ยากได้บ้างไม่ได้บ้าง  บัดนี้ได้ยินว่ากรุงปักกิ่งก็เสียแล้ว  แก่อังกฤษแลฝรั่งเศส  เสียเจ้ากรุงฟาเหี้ยงที่จีนเมืองนี้เรียกว่า  หั้ม ฮอง นั้น  ก็หนีไปเมืองตาตารีเสียแล้ว  เมืองจีนเดี๋ยวนี้คนก็ตั้งตัวเปนพวกเปนเหล่าอยู่ตามที่ต่าง ๆ ไม่มีเจ้านายอันเดียวกันดังแต่ก่อน ฯ

| หน้าแรก | ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |