ศาสนาอิสลาม

หลักการอิสลาม
            หลักการอิสลามแบ่งออกเป็นส่วนใหญ่ ๆ ได้สองส่วนคือ
            หลักการอันเป็นข้อบังคับสำหรับบุคคล (ฟัรดูอัยนีย์) มุสลิมทุกคนต้องรู้ และประพฤติปฏิบัติ โดยเริ่มตั้งแต่อายุเจ็ดขวบเป็นต้นไป แบ่งออกเป็นสามส่วนคือ หลักศรัทธา (อีมาน) หลักปฏิบัติ (อิสลาม) และหลักคุณธรรม (อิฮซาน) หลักการทั้งสามส่วนนี้ ผู้นับถืออิสลามทั้งที่สืบทอดจากบิดามารดามาแต่เดิม หรือเพิ่งเข้ารับอิสลามใหม่ก็ตาม จำต้องศึกษาให้เข้าใจโดยถ่องแท้และสามารถประพฤติปฏิบัติอย่างต่อเนื่องตลอดไป
            หลักการอันเป็นข้อบังคับสำหรับสังคม (ฟัรดู กิฟายะฮ์) ได้แก่หน้าที่ต่าง ๆ ทางสังคม นับตั้งแต่หน่วยเล็กที่สุดคือ ครอบครัวจนถึงสังคมที่ใหญ่ที่สุดคือ ประเทศชาติ มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการเก็บภาษี การจัดการกองทัพ การบริหารประเทศ การทูต ฯลฯ เป็นส่วนหนึ่งในคำสอน
                หลักศรัทธา (อีมาน)  อิสลามได้กำหนดไว้เป็นบทแรกแห่งการนับถือ บุคคลจะต้องเริ่มต้นด้วยการศรัทธาจะเป็นประการสำคัญมีหกหัวข้อคือ
                    ศรัทธาในพระเจ้า  ซึ่งเรียกว่า อัลเลาะฮ์ ซึ่งมีลักษณะความสมบูรณ์เช่น ทรงมีอย่างแน่นอนไม่มีข้อสงสัย ทรงมีมาก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง ทรงนิรันดรภาพ ทรงดำรงอยู่เองไม่อาศัยปัจจัยเงื่อนไขและที่พึ่งใด ๆ ทรงเอกานุภาพไม่มีสิ่งใดเป็นภาคี ทรงผิดแปลกกับสรรพสิ่งทั้งปวง ทรงอานุภาพเหนือสรรพสิ้งทั้งปวง ทรงชีวิตอันอมตะ ทรงได้ยิน ทรงมองเห็น ทรงบัญชา ทรงมุ่งหมาย และทรงรอบรู้
                    ศรัทธาในมลาอีกะฮ์  มลาอิกะฮ์เป็นสรรพสิ่งชนิดหนึ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นในธาตุพิเศษเป็นธาตุฝ่ายวิญญาณ ซึ่งมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถสัมผัสได้ ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งพระเจ้าอย่างเคร่งครัด มีจำนวนมากมายมหาศาล เท่าที่มีรายชื่อและหน้าที่เฉพาะมีอยู่สิบมลาอิกะฮ์คือ
                        ๑. ยิบรออีล  ทำหน้าที่สื่อบัญญัติของพระเจ้ากับนบี
                        ๒. มีกาอีล  ทำหน้าที่นำโชคลาภจากพระเจ้าสู่โลก
                        ๓. อิสรอพิล  ทำหน้าที่เป่าสังข์ในวันสิ้นโลก
                        ๔. อิสรออิล  ทำหน้าที่ถอดวิญญาณมนุษย์และสัตว์
                        ๕. รอกีบ  ทำหน้าที่บันทึกความดีและความชั่วของมนุษย์
                        ๖. อะติด  ทำหน้าที่บันทึกความดีและความชั่วของมนุษย์
                        ๗. มุงกัร  ทำหน้าที่สอบถามคนตายในกุบูร (หลุมฝังศพ)
                        ๘.นะกีร  ทำหน้าที่สอบถามคนตายในกุบูร (หลุมฝังศพ)
                        ๙. ริดวาน  ทำหน้าที่กิจการของสวรรค์
                        ๑๐. มาลิก  ทำหน้าที่ดูแลกิจการของขุมนรก
                    ศรัทธาในนบี  มุสลิมมีศรัทธาว่า โลกมนุษย์ในแต่ละยุคที่ผ่านมานับแต่ยุคแรกคือ อาดัม นั้นจะต้องมี นบี หรือ ศาสนทูต เป็นผู้รับบทบัญญัติของพระเจ้า มาประกาศเพื่อปฏิบัติ จำนวนนบีที่เผยแพร่บทบัญญัติของพระเจ้า มีจำนวนมากมาย ลักษณะคำประกาศของแต่ละนบี ย่อมผิดแปลกไปตามยุคตามสมัย แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกนบีประกาศออกมาเหมือนกันคือ ความเชื่อในพระเจ้าเดียว และห้ามกราบไหว้บูชาวัตถุโดยสิ้นเชิง
                    บรรดานบีที่รับบทบัญญัติจากพระเจ้ามาเผยแพร่ เท่าที่มีปรากฏในอัลกุรอ่าน มีทั้งสิ้น ๒๕ ท่านคือ
                        ๑. อาดัม  ๒. อิบรอฮิม  ๓. อิสฮากร์  ๔. ยากูฟ  ๕. นัวฮ์  ๖.ดาลูด  ๗. สุไลมาน  ๘.ไอยยูฐ  ๙.ยยูซุบ  ๑๐. มูซา (โมเสส)  ๑๑.ฮารูฯ  ๑๒. ซาการียา  ๑๓. ยาห์ยา  ๑๔. อีซา (เยซู) ๑๕. อินยาส  ๑๖. อิสมาอีล  ๑๗. อัลย่าซะอ์  ๑๘. ยูนุส  ๑๙. ลูด  ๒๐. อิดรีส  ๒๑. ฮูด  ๒๒.ซู่ไอย์  ๒๓. ซอและห์  ๒๔. ซุลกิฟลี่  ๒๕. นบีมูฮำมัด (ซ.ล.)
                    บรรดานบีทุกท่านเป็นมนุษย์ธรรมดา จึงดำรงชีวิตแบบคนทั่วไป สาเหตุที่พระเจ้าเลือกคนธรรมดาขึ้นมาเป็นนบี เพราะความเป็นนบี หมายถึง การเป็นตัวอย่างในการปฏิบัติตามคำสอนของตนที่ได้รับมาจากพระเจ้า ทุกสิ่งที่นบีสอนผู้อื่นท่าน ก็จะปฏิบัติสิ่งนั้นด้วย คำสอนที่สอนออกไป จึงเป็นกฎหมายที่ท่านต้องปฏิบัติตาม เพราะสิ่งที่ท่านสอนก็คือ บทบัญญัติที่พระเจ้าให้ผ่านมาทางท่านนั่นเอง
                    ศรัทธาในคัมภีร์  สิ่งที่พระเจ้าบัญญัติมาจะแบ่งได้เป็นสองแบบคือเป็นคัมภีร์ฉบับสมบูรณ์ (กิตาบ ) เป็นคำแถลงการณ์ (ซุฮุบ) คัมภีร์ที่เป็นฉบับสมบูรณ์ มีดังต่อไปนี้
                        ๑. ซะบูร  นบีดาวุด เป็นผู้รับบทบัญญัติและเผยแพร่
                        ๒. เตารอด  นบีมูซว่า เป็นผู้รับบทบัญญัติและเผยแพร่
                        ๓. อันยีล  นบยีวอีซวา เป็นผู้รับบทบัญญัติและเผยแพร่
                        ๔. กุรอาน  นบีมูฮำมัด  เป็นผู้รับบทบัญญัติและเผยแพร่
                    มีบทบัญญัติที่ไม่เป็นคัมภีร์ฉบับสมบูรณ์ แต่เป็นเพียงคำแถลงการณ์ ซึ่งเผยแพร่ออกมาตามวาระต่าง ๆ คือ โดยนบีซีซ มี ๖๐ ฉบับ โดยนบีอิบรอฮิม มี ๓๐ ฉบับ และโดยนบีอีซา จำนวน ๑๐ ฉบับ
                    คัมภีร์ฉบับสุดท้าย อันประมวลความสมบูรณ์และใช้อยู่จนถึงวันสิ้นโลกคือ คัมภีร์กุรอาน ประกาศโดยท่านนบีมมูฮัมมัด
                    คัมภีร์กุรอาน  มิใช่เป็นเพียงคัมภีร์ทางศาสนาที่มีบทสวดมนต์หรือคำสอนทางความเชื่อ หรือทางศีลธรรมโดยเฉพาะ แต่เป็นคัมภีร์ที่ประมวลเรื่องราวต่าง ๆ ไว้มีบทบัญญัติต่าง ๆ ประมาณ ๖,๖๐๐ บทบัญญัติ แบ่งออกเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับหลักความเชื่อ พิธีการทางศาสนา ประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ การปกครอง การแพทย์ การคำนวณ วิทยาศาสตร์ กฎหมาย การทูต สังคม วัฒนธรรม บทขอพร และหลักศีลธรรม เป็นต้น
                    มุสลิมถือว่า กุรอานเป็นธรรมนูญชีวิตของทุกคน การกระทำทั้งหลายจะต้องสอดคล้องกับบทบัญญัติของกุรอาน มุสลิมจะอ่านกุรอานเป็นประจำ แม้ไม่ได้เข้าใจความหมายแต่ทุกคน ถือเป็นหน้าที่ต้องอ่าน เพื่อเตือนตัวเองให้สำนึกถึงความสำคัญของกุรอาน ที่มีต่อการดำเนินชีวิต โดยจะอ่านให้จบทั้ง ๖,๖๐๐ กว่าบทบัญญัติ อย่างน้อยปีละครั้ง
                    เนื้อความของกุรอาน เป็นธรรมนูญสูงสุดของมุสลิม กฎหมายหรือ บทบัญญัติอื่นใดไม่สามารถหักล้างได้ มุสลิมเชื่อว่านบีมูฮำมัดไม่ได้เขียนกุรอ่านขึ้นเอง เพราะท่านอ่านหนังสือไม่ออก และคนอาหรับในสมัยนั้น ไม่มีผู้ใดมีความรู้ในสาขาต่าง ๆ ที่กล่าวไว้ในกุรอาน จึงต้องมาจากการไขความ (วิวรณ์) ของพระเจ้า และจากยุคของท่านนบีจนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีผู้ใดสามารถแต่งประโยคที่มีสัมผัสภาษา และให้ความหมายที่ใกล้เคียงกับกุรอาน
                    ศรัทธาในโลกหน้า  อิสลามสอนเรื่องของโลกหน้าว่ามีจริง มุสลิมทุกคนต้องเชื่อมั่นการมีโลกหน้าจะเกิดหลังการแตกดับของโลกปัจจุบันนี้เสียก่อน  การที่โลกนี้จะแตกดับ ท่านนบีได้พยากรณ์ไว้หลายอย่าง เช่น จะเกิดปัญหาหมอกควัน จะเกิดสงครามมากมาย จะเกิดการอ้างตัวเป็นนบีปลอม จะแข่งขันในการสร้างอาคารสูง ๆ  จะแข่งขันในการสร้างมัสยิด จะมีการผิดประเวณีกันแพร่หลาย จะมีการดื่มสุราอย่างแพร่หลาย และผู้นำจะขาดคุณธรรม
                    ศรัทธาในลิขิตของพระเจ้า มุสลิมต้องศรัทธากำหนดการต่าง ๆ ในโลก และชีวิตแต่ละคนนั้น เป็นไปโดยอำนาจของพระเจ้า มนุษย์จะต้องปฏิบัติตามครรลองที่ถูกกำหนดไว้แล้ว การดิ้นรนขวนขวายอุตสาหวิริยะของมนุษย์ ดำเนินอยู่ภายใต้ข้อกำหนดดังกล่าว
                หลักปฏิบัติ (อิสลาม)  ผู้นับถืออิสลามทุกคนจะต้องถือเป็นหน้าที่ และกิจวัตรจะขาดไม่ได้ การปฏิบัติเบื้องต้นอันเป็นพื้นฐานแรกนั้น แบ่งออกได้เป็นห้าประการคือ
                    ปฏิญาณตน  การปฏิญาณตนเข้ารับนับถืออิสลามนั้น ให้ปฏิญาณในความเชื่อที่มีต่อพระเจ้าและต่อนบี โดยกล่าวออกมาเป็นวาจาจากความเชื่อมั่น และพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสอน ข้อความที่กล่าวคือ
                    "ข้าพเจ้าขอปฏิญาณตนว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลเลาะฮ์ และข้าพเจ้าปฏิญาณตนว่า นบีมูฮำมัดเป็นศาสนทูตแห่งอัลเลาะฮ์"
                    เมื่อผู้ใดกล่าวด้วยสำนึกอันจริงใจ และด้วยความศรัทธาอันมั่นคง และพร้อมที่จะปฏิบัติตามบทบัญญัติอิสลาม ก็ถือว่า เป็นมุสลิมแล้ว จากนั้นก็จะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับอื่น ๆ เช่น การขลิบปลายผิวหนังส่วนนอกที่หุ้มปลายอวัยวะเพศ การทำความสะอาด การทำนมัสการ การบริจาคทาน และอื่น ๆ
                    ผู้เข้าอิสลามบางคนที่เข้าโดยเงื่อนไขของการแต่งงานกับมุสลิม มักเข้าใจว่า การกล่าวข้อความปฏิญาณเป็นเพียงเงื่อนไขในการแต่งงาน จึงคิดว่าเมื่อผ่านพิธีปฏิญาณ แล้วก็แล้วกัน ตนไม่ต้องสนใจคำสอนอิสลามแล้ว ปล่อยตัวตามสภาพเดิม การกระทำดังกล่าวไม่เรียกว่า เป็นมุสลิม
                    ทำละหมาด  คือ การนมัสการต่อพระเจ้า ต้องทำเป็นประจำในหลายวาระคือ
                        - รอบวัน  ให้ทำวันละ ๕ ครั้งคือ เวลาเช้าตรู่ (ซุบฮ์) ๒ รอกะอัต  เวลาบ่าย (ซุฮุร) ๔ รอกะอัต  เวลาเย็น (อัสริ) ๔ รอกะอัต เวลาพลบค่ำ (มักริบ) ๓ รอกะอัต และเวลากลางคืน (อิซา) ๔ รอกะอัต
                        - รอบสัปดาห์  ให้รวมกันทำในวันศุกร์ ณ มัสยิด จำนวน ๒ รอกะอัต
                        - รอบปี  ให้ทุกคนมาละหมาด ณ มัสยิดหรือสถานชุมนุมซึ่งมีสองครั้งคือ
                            - ละหมาดเมื่อสิ้นเดือนถือศีลอด (อีดิลพิตร์) เรียกว่า วันออกบวช จำนวน ๒ รอกะอัต
                            - ละหมาดในวันเชือดสัตว์พลีทานเนื่องในเทศกาลฮัจยี (อีดิลฮัดฮา) ซึ่งเรียกว่า วันออกฮัจยี จำนวน ๒ รอกะอัต
                        - ตามเหตุการณ์  เมื่อเกิดเหตุการณ์บางประการให้ทำละหมาดด้วย เช่น
                            - ทำละหมาดขอพรแก่ผู้ตายก่อนนำไปฝัง เรียกว่า ละหมาดยานาซะฮ์
                            - ทำละหมาดขอฝนในยามแห้งแล้ง เรียกว่า ละหมาดอิสติกออ์
                            - การทำละหมาดในกลางคืนของเดือนถือศีลอด จำนวน ๒๐ กอระอัต เรียกว่า ละหมาดตารอวีห์
                            - ทำละหมาดระลึกถึงพระเจ้าเมื่อเกิดเหตุผิดปกติทางธรรมชาติคือ เมื่อเกิดจันทรุปราคา เรียกว่า คุซูฟุลกอมัร จำนวน ๒ รอกะอัต และเมื่อเกิดสุริยุปราคา เรียกว่า กุซูฟุซซัมซี จำนวน ๒ รอกะอัต
                            - ทำละหมาดขอต่อพระเจ้าให้ชี้ทางเลือก ในการประกอบการงานต่าง ๆ เรียกว่า ละหมาดอิสติคงเราะย์ จำนวน ๒ รอกะอัต
                    นอกจากนี้ยังมีละหมาดอื่น ๆ อีกที่ปรากฏในตำราศาสนาโดยตรง และการละหมาดยังส่งเสริมให้กระทำ โดยไม่ต้องรอวาระทำ เมื่อระลึกถึงพระเจ้า กระทำครั้งละ ๒ รอกะอัต และทำได้เรื่อยไป เรียกว่า ละหมาดสนัตมุตลัก
                    วิธีทำละหมาด เริ่มด้วยการชำระร่างกายให้สะอาด และอาบน้ำละหมาด ตามแบบดังนี้คือ ตั้งใจว่าจะอาบน้ำละหมาด ล้างมือให้สะอาด บ้วนปาก และล้างรูจมูกให้สะอาด ล้างหน้าให้สะอาด ล้างมือจรดข้อศอก เช็ดศีรษะ เช็ดหู ล้างเท้า ทำไปตามลำดับ เสร็จแล้วให้สวมเสื้อผ้าที่สะอาด โดยผู้ชายต้องปิดระหว่างสะดือกับหัวเข่า ผู้หญิงปิดทั้งร่าง ยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือ แล้วยืนหันหน้าไปทางกิบลัด (กะบะฮุ์บัยตุลเลาะฮ์) ด้วยใจสงบมุ่งตรงต่อพระเจ้า แล้วทำดังนี้
                        - ตั้งเจตนาอันแน่วแน่
                        - ยกมือจรดระดับบ่าพร้อมทั้งกล่าวตักบีร (กล่าวอัลลอฮูฮักบัร แปลว่า อัลเลาะฮ์ยิ่งใหญ่ที่สุด) แล้วยกมือลงมากอดอก
                        - ยืนตรงในท่าเดิมพร้อมกับอ่านบางบทจากกุรอานคือ แม่บทฟาติฮะห์และบทอื่น ๆ ตามต้องการ
                        - ก้มลงใช้มือทั้งสองข้างจับหัวเข่าไว้ ศีรษะทำแนวตรงกับสันหลัง ไม่ห้อยลงและไม่เงยขึ้น พร้อมกับอ่านว่า "ซุบฮานะริบบิยันอะซีมวะบิฮันดิฮ" สามครั้งเป็นอย่างน้อย
                        - เงยหน้ามาสู่ที่ยืนตรงพร้อมทั้งกล่าวว่า "สมิอัลลอฮุลิมันฮะมิดะฮ์รอบบะนาละกัลฮั้นดุ"
                        - ก้มลงกราบโดยให้หน้าผากและจมูกจรดพื้น มือวางแนบพื้นในระดับบ่า หัวเข่าทั้งสองวางบนพื้น และปลายนิ้วเท้าสัมผัสกับพื้น พร้อมกับอ่านว่า "ซุบฮานะรอบบิยัลอะฮ์ลาวะบิฮัมดิฮี" สามครั้งเป็นอย่างน้อย
                        - ลุกขึ้นมานั่งพักพร้อมกับอ่านบทขอพร
                        - ก้มลงกราบครั้งที่สองเช่นเดียวกับครั้งแรก การกระทำตามลำดับดังกล่าวถือว่า หนึ่งรอกะอัต
                        -  จากนั้นขึ้นมายืนตรง แล้วย้อนกลับไปเริ่มต้นทำตามลำดับที่กล่าวแล้ว และในรอกะอัตที่สอง ให้กระทำดังนี้คือ เมื่อขึ้นจากการกราบครั้งที่สอง ให้นั่งพร้อมกับอ่าน ตะฮียะฮ์ หากละหมาดนั้นมีเพียงสองรอกะอัต ก็ไม่ต้องลุกไปทำรอกะอัตต่อไป แต่ถ้าเป็นละหมาดที่มี ๓ - ๔ รอกะอัต ก็ให้ลุกขึ้นทำตามลำดับดังกล่าวครบจำนวน
                        - ให้สลาม คือ อ่านว่า อัสลามุอะลัยกุม วะเราะห์มะตุลลอฮ์ พร้อมกับเหลียวไปทางขวา และว่าอีกครั้ง พร้อมทั้งเหลียวไปทางซ้าย จากนั้นให้ยกมือขวาขึ้นลูบหน้า เป็นอันเสร็จพิธี