| ย้อนกลับ | |
มุกดาหาร (๒)
"ไหว้พระดี แดนอีสาน มงคลสถานร้อยแปดวัด "สำหรับมุกดาหาร ได้แก่ วัดศรีมงคลใต้
มีพระเจ้าองค์หลวง พระคู่บ้าน คู่เมือง วัดศรีบุญเรือง หรือ วัดบ้านใต้ มีพระพุทธรูปโบราณที่เจ้าจันทกินรี
อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ เมื่อตอนมาสร้างเมืองมุกดาหาร และหลวงพ่อใหญ่ ปางปฐมเทศนา
ที่วัดภูด่านแต้ อ.นิคมคำสร้อย
ที่นี้มาเล่าเรื่องของมุกดาหาร (อ.เมือง) ต่อจากที่เล่าไปแล้ว
เรื่องแรก เนื่องจากผมไม่เคยข้ามไปฝั่งลาว เมืองสะหวันนะเขต ทราบแต่ว่ามีสถานที่เที่ยวหลายแห่ง
เช่น พิพิธภัณฑ์กะปอมหลวง ทาดอิงฮัง ทาดโพน
และเฮือนหิน ตลาดสะหวันนะเขต
(สินค้าเหมือนฝั่งไทย แต่จะมีน้อยกว่า) การข้ามไปฝั่งลาวในปัจจุบัน ไปสะดวกมาก
เมื่อก่อนต้องข้ามเรือไปเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้ไปทางรถก็ได้ เพราะมีสะพานมิตรภาพ
๒ แล้ว แต่จะสะดวกเหมือนเข้าลาวทางรถ ทางด้านไปจำปาศักดิ์ หรือไม่ ผมไม่ทราบ
บอกได้แต่เบอร์โทรศัพท์ ที่จะลองสอบถามดู เพราะหากไปน้อยวัน เช่นไปเช้า เย็นกลับ
ขอใบผ่านแดนไปได้ หากไปหลายวันต้องใช้หนังสือเดินทาง และต้องขอวีซ่า (เรียกว่า
ไปมาเลย์เซียสะดวกกว่า) จะให้ดีไปกับทัวร์ดีที่สุด เพราะในเมืองมีทัวร์พาข้ามฟากไปหลายทัวร์
อำเภอหว้านใหญ่
ไปได้ ๒ เส้นทางคือ ไปตามถนนสาย ๒๑๒ แล้วไปเลี้ยวขวาเข้าไปอีก ๙ กม.
ก็จะถึงตัวอำเภอ แล้วเลี้ยวซ้าย เลาะริมน้ำไปยังแก่งกระเบา เอาเป็นที่หมายปลายทาง
หว้านใหญ่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง ล้วนอยู่ในเส้นทางไม่ไกลจากตัวอำเภอ
ซึ่งถนนสายนี้จะลัดเลาะไปได้จนถึงอำเภอธาตุพนม เป็นอีกเส้นทางหนึ่ง วัดพุทธ
ก็มี วัดมโนรมย์ วัดลัฎฐิกวัน วัดศรีมหาโพธิ์ และวัดป่าวิเวก วัดที่น่าชมอย่างยิ่งคือ
วัดในคริสต์ศาสนา คือ วัดสองคอน ซึ่งมีสถาปัตยกรรม สมัยใหม่ที่น่าชม
วัดมโนรมย์
เป็นวัดเก่าแก่ อายุกว่า ๒๐๐ ปี อยู่ริมแม่น้ำโขง งามด้วยฝีมือช่างหลวงจากเวียงจันทน์
เส้นทางจากที่ว่าการอำเภอ ตรงไปทางแม่น้ำโขง ประมาณ ๑ กม. พอถึงสี่แยกให้เลี้ยวขวา
ผ่านบ้านหว้านใหญ่ ข้ามสะพาน ข้ามห้วยชะโนด จะพบวัดลัฎฐกวัน ทางซ้ายมือ เลยวัดแล้ว
เลี้ยวซ้ายไปไม่ไกลวัดมโนรมย์ จะอยู่ทางซ้ายมือ
วัดนี้เดิมชื่อ วัดบ้านชะโนด สร้างพร้อมกับการตั้งหมู่บ้าน เมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐
พร้อมกับการตั้งเมืองมุกดาหาร วิหาร สร้างโดยช่างหลวง จากเวียงจันทน์ ศิลปะลาว
มีจิตรกรรมฝาผนัง ภายในวิหารประดิษฐาน พระพุทธรูปปูนปั้นปางนาคปรก มีพระพุทธรูปโบราณ
เช่น พระงา ซึ่งแกะงาช้างสลักรูปพระพุทธเจ้า แปดองค์
หอแจก หรือศาลาการเปรียญ มีพระนอนปูนปั้น นอนตะแคงซ้าย
วัดลัฎฐกวัน
เป็นวัดเก่าแก่ อายุเกินร้อยปี มีหอปรินิพพานจำลอง พระธรรมเจดีย์ รอยพระพุทธบาทจำลอง
สิม หรืออุโบสถเก่าแก่ มีภาพจิตรกรรมเรื่อง พระเวสสันดร
วัดศรีมหาโพธิ์
มี สิมเป็นศิลปะแบบล้านช้าง ผนังสิม มีภาพฝีมือจิตรกรรมพื้นบ้านเรื่อง พระเวสสันดร
"มีตึกฝรั่ง" สร้างเพื่อเป็นกุฎิสงฆ์ เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๗ เป็นช่วงที่ลาวถูกปกครองโดยฝรั่งเศส
แล้วสถาปัตยกรรมแบบฝรั่ง จึงแพร่เข้ามายังฝั่งมุกดาหาร ด้วย สร้างโดยช่างญวนและลาว
ตึกนี้มองดูก็จะเห็นว่า เป็นสถาปัตยกรรมแบบอาณานิคม
โบสถ์พระแม่ไถ่ทาส
หรือวัดสองคอน เป็นโบสถ์ในศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก ของวัดสองคอน
อยู่ริมแม่น้ำโขง เป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ มีขนาดใหญ่มาก เส้นทางไปเส้นทางเดียวกับไปแก่งกระเบา
จากตัวอำเภอ ไปทางไปแม่น้ำโขง ประมาณ ๑ กม. แล้วเลี้ยวซ้ายไปอีกประมาณ ๕ กม.
วัดอยู่ทางขวามือ เลยต่อไปจะไปยังแก่งกระเบา ไปที่วัดสองคอน แล้วจะทราบความเป็นมาของ
"มรณสักขี" ของแม่ชี และความงดงามภายในของโบสถ์ ที่เปิดให้เข้าชมได้ มีเรือนพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง
แก่งกระเบา
เลยบ้านสองคอนไป ผ่านบ้านโคกกระเบา พบป้ายชี้ให้เลี้ยวขวาตรงไปยังริมแม่น้ำโขง
หากไปในฤดูน้ำ จะไม่เห็นแก่ง น้ำจะท่วมแก่งหมด เห็นแต่น้ำโขงไหลเชี่ยวกราก
หากจะไปชมแก่งด้วย กินหมู่หันด้วย ต้องไปในฤดูแล้ง ตั้งแต่เดือนภุมภาพันธ์
ไปถึงเมษายน จะได้เห็นแก่งหิน และลานหินกว้างแน่นอน และยังมีหาดทรายสีขาว
สะอาดตาผุดขึ้นมาให้ชม ส่วนบนฝั่งเป็นสวนสาธารณะ และร้านอาหาร (หมูหัน)
ขอยกย่องให้แก่งกระเบา เป็น "ดงหมูหัน" มีร้านขายหมูหัน ย่างกันอยู่ที่หน้าร้าน
คงจะเกินสิบร้าน เลี้ยวเข้ามาแก่งกระเบา แล้วเลี้ยวซ้ายผ่านหน้าร้านอาหาร
ที่ตั้งอยู่เป็นแถวร้านอยู่ซ้ายมือ
อิ่มแล้ว ไม่ต้องย้อนกลับมา ไปนมัสการพระธาตุพนม ต่อก็ได้เลย
หรือพอกลับออกมาถึงสี่แยก ไม่เลี้ยวขวามาทางตัวอำเภอ ตรงเลาะแม่น้ำโขงต่อไป
ก็จะกลับไปยังตัวเมืองมุกดาหารได้ และจะมาลอดใต้สะพานมิตรภาพ ๒
มุกดาหาร มีอุทยานแห่งชาติ ๒ แห่ง คือ อุทยานแห่งชาติมุกดาหาร และอุทยานแห่งชาติภูสระดอกบัว
ทั้งสองแห่งอยู่ในท้องที่ อำเภอดอนตาล
อุทยานแห่งชาติมุกดาหาร
อยู่ห่างจากอำเภอเมือง ประมาณ ๑๗ กม. จากในเมืองไปตามถนนสาย ๒๐๓๔ (เป็นถนนสายที่ขนานกับถนนสำราญริมโขงใต้)
ผ่านโรงพยาบาลมุกดาหารอินเตอร์ ผ่าน "หอแก้วมุกดาหาร" ไปจนถึง กม.๑๔.๕๐๐ มีป้ายบอกเลี้ยวขวาไปอีก
๒ กม. จะถึงอุทยานมีของที่ระลึก และเครื่องดื่มจำหน่าย ที่พักของอุทยาน มีบ้านพัก
๓ ห้อง พักได้ ๖ คน ติดต่อ อช. ๐๔๒ ๖๐๑ ๗๕๓ มีเต้นท์ให้เช่า มีที่กางเต้นท์
ส่วนที่ อช.ภูสระดอกบัว
อยู่ในดอนตาลเหมือนกัน วันนี้ไม่ได้ไป ติดต่อที่พัก ๐๔๒ ๓๓๗ ๗๔๐ มีเต้นท์
และที่กางเต้นท์เช่นกัน ที่ อช.มุกดาหาร มีเจ้าหน้าที่น่าจะเป็นการส่วนตัว
ถือกล้องมาถามว่า จะถ่ายรูปคู่ไหมครับ รูปละ ๒๕ บาท เลยอุดหนุน นาน ๆ จะถ่ายคู่กันสักที
เพราะเดินทางมาค่อนโลกแล้ว ถ่ายกันจนไม่มีที่จะเก็บ ตอนนี้ดีหน่อย ที่ไม่ต้องไปอัด
เก็บไว้ในคอม ฯ
อช.มุกดาหาร หากมีแรงเดินไปชมได้หลายแห่ง ส่วนผมไปคราวนี้ไม่อยากฝืนสังขาร
คงชมแต่กลุ่มหินเทิบ
ซึ่งงดงามมาก เดินขึ้นไปนิดเดียว ก่อนขึ้นภูทางขวามือ ก็มีกลุ่มหินให้ชม เป็น
"อันซีน ไทยแลนด์" หินบนภูผามองแล้วเกิดจินตนาการ ให้เห็นเป็นรูปร่างแปลก
ๆ ถ้าไปด้วยกันมองหินแล้ว อย่าเถียงกัน มีเส้นทางเดินเท้าที่อุทยานจัดไว้
หนุ่มสาวแรงดี ควรลองเดินดู มีการพบหลักฐานทางโบราณคดี ในพื้นที่อุทยานหลายยุค
หลายสมัย พบชิ้นส่วนกระดูกไดโนเสาร์ รอยเท้าไดโนเสาร์ (ยังมีอยู่) พบภาชนะเครื่องปั้นดินเผา
ภาพสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ พระพุทธรูปโบราณ ฯ
ช่วงปลายฝนต้นหนาว (ก.ย.- พ.ย.) ทุ่งดอกหญ้า จะเกิดงามนัก ออกดอกชูช่อ
ได้แก่ ดอกดุสิตา สร้อยสุวรรณา มณีเทวา ทิพเกสร สหัสจันทร์ หยาดน้ำค้าง หญ้าน้ำค้าง
เอนอ้า และทิพย์จันทร์ เป็นต้น หากจะชมให้สมใจจริง ๆ ให้เดินไปยังลานมุจลินท์
อยู่ห่างจากกลุ่มหินเทิบ ไปทางตะวันตกราว ๓๐๐ เมตร ไปให้ถูกฤดูด้วย
หอแก้วมุกดาหาร
เส้นทางไปทางเดียวกับไป อช.มุกดาหาร อยู่ทางซ้ายมือ มองเห็นแต่ไกล สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครองราชย์ครบ ๕๐ ปี ใน พ.ศ.๒๕๓๙ เป็นหอคอยคอนกรีต
ที่มีความสูงทั้งสิ้น ๖๕.๕๐ เมตร มีทั้งหมด ๗ ชั้น ค่าเข้าชมคนละ ๒๐ บาท จอดรถนอกรั้ว
เข้าไปแล้ว สุขาอยู่ขวามือ ไปมุกดาหารต้องไปขึ้นหอแก้วให้ได้ ชมนิทรรศการแล้ว
ยังได้ชมภูมิทัศน์ของตัวเมืองมุกดาหาร แม่น้ำโขง และฝั่งสะหวันนะเขต ของลาวได้อีกด้วย
ชั้น ๑ จัดเป็นนิทรรศการของคนแปดเผ่า ชนพื้นเมืองที่อยู่อาศัยในดินแดนมุกดาหาร
มาตั้งแต่ดั้งเดิมและในปัจจุบัน คือ ไทยข่า ไทยกะโซ่ ไทยกะเลิง ชาวไทยอีสาน
ไทยย้อ ไทยแสก ไทยกุลา ชาวผู้ไทย (มีผู้ไทยดำ ๘ เมือง และชาวผู้ไทยขาว ๔ เมือง
ถิ่นฐานเดิมอยู่ในจีนมีรวม ๑๒ เมือง จึงเรียกว่า แคว้นสิบสองจุไท หรือ สิบสองปันนา)
ชั้น ๒ นิทรรศการภาพคนแปดเผ่า ศึกษาประวัติศาสตร์มุกดาหาร ได้จากชั้นนี้
ชั้น ๓ - ๕ เป็นแกนหอคอย มีบันไดทั้งสิ้น ๓๒๑ ชั้น อย่าตกใจ เขามีลิฟท์ให้ขึ้น
ชั้น ๖ เป็นชั้นชมวิว ชมได้รอบ ๓๖๐ องศา ชมความงดงามของแม่น้ำโขง
สะหวันนะเขต และความงดงามของเทือกเขา ที่สลับซับซ้อนของมุกดาหาร ชมวัดภูมโนรมย์
บนเทือกเขาทางตะวันตก ลงจากหอแก้ว แล้ววิ่งรถไปได้ประมาณ ๒ กม.เศษ
ชั้น ๗ ขึ้นบันไดไป เป็นชั้นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเนื้อเงินแท้ บริสุทธิ์ผสมทองคำ
หน้าตักกว้าง ๒๐ นิ้ว "พระพุทธนวมิ่งมงคลมุกดาหาร" ชาวพุทธเมื่อขึ้นไปยังชั้นนี้แล้ว
ควรได้สักการะกราบไหว้บูชา
ติดต่อ สอบถาม หอแก้วมุกดาหาร ๐๔๒ ๖๓๓ ๒๑๑
มารู้จักดอกไม้ประจำจังหวัดมุกดาหารไว้ด้วย เพราะเป็นไม้มงคลคือ ดอกช้างน้าว
เสน่ห์ของดอกช้างน้าว ที่ทำให้คนหลงไหลคือ มีดอกสีเหลืองอร่าม ออกดอกเต็มกิ่งก้าน
ในฤดูแล้ง ฤดูฝนจะผลิใบอ่อนสีเขียวขจี เดือนมกราคม จะสลัดใบทั้งต้น ชาวมุกดาหารนิยมตัดกิ่งช้างน้าว
มาใส่ไว้ในแจกัน หรือโอ่งน้ำ ตั้งไว้ในบ้านเรือน เชื่อกันว่า ครอบครัวใด จะมีโชคลาภเจริญก้าวหน้า
ช้างน้าวในแจกัน จะออกดอกเหลืองอร่ามตา
มุกดาหาร มีชาวญวนอพยพมาอยู่มาก จนกลายเป็นคนไทยไปหมดแล้ว อาหารญวนมีแทบทุกถนนในตัวเมือง
อยู่ในเส้นทางถนนที่จะไปยังภูผาเทิบ ก่อนถึงโรงพยาบาล ตรง กม.๑๐ ร้านอยู่ทางซ้าย
มาร้านจะมาจากถนนสำราญชายโขงใต้ก็ได้ จอดรถได้ที่ริมถนน และลานจอดด้านหลังของร้าน
มีเมนูสุขภาพ สาวเสริฟ หน้าไทย ๆ แต่งชุดอ๋าวใหญ่ ชุดสาวญวน
แหนมเนือง กินอาหารญวน ต้องสั่งแหนมเนือง เก่งไม่เก่งดูกันที่จานนี้ หากเหนียวหนึบ
น้ำจิ้มดีเป็นใช้ได้ แผ่นแป้ง แช่น้ำมาแล้ว บางร้านให้แผ่นแป้งดิบแข็งมาแช่น้ำเอาเอง
วิธีนี้ดูจะดีกว่าแช่น้ำมาให้ กล้วยดิบ มะเฟือง กระเทียม พริกขี้หนู หมู ๒
ไม้ เสริฟมาพร้อมขนมจีน เหนียวหนึบใช้ได้ น้ำจิ้มมี ๑ ถ้วย เอนกประสงค์ จิ้มได้หมด
กุ้งพันอ้อย เสริฟมาพร้อมเส้นหมี่ ผักดอง ไม้ใหญ่ หนาไป เลยไม่นุ่ม
ไม้ละ ๖๕ บาท
บั่นหอย หมูสามชั้นนึ่ง เสริฟมากับเส้นหมี่ อร่อยตรงติดหนัง เคี้ยวกรุ๊บ
ๆ
ส้มตำสุขภาพ ใช้แครอตสับมากับมะละกอ รสคล้ายส้มตำไทย ใส่กุ้งแห้งตัวโต
ผักสุด ๑ ตะกร้า ผักกาดหอม โหระพา สาระแหน่ ใบมะกอก ผักไผ่ ผักชีฝรั่ง
อาหารแนะนำ ของทางร้าน มีพิซซ่าเวียดนาม แหนมเนือง ยอไซ่ง่อน ยำหัวปลี ฟองดู
ปอเปี๊ยะสด กุ้ง - หมู พันอ้อย ก๊วยจั๊บเวียดนาม และฟองดู
ของหวานไม่มี หากยังไม่อิ่ม (มื้อค่ำ) จะชิมต่อ ไปที่ตลาดราตรี ถนนหน้าศาลากลาง
เตรียมพุงไปให้ดีก็แล้วกัน
....................................
| ย้อนกลับ | บน | |