สถานการณ์ ๓+๑ จชต. ก.พ.๕๔
๑ - ๒๘ ก.พ.๕๔

          การขาดเสถียรภาพประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้รัฐบาลละเลยการบริหาร และการดูแลความ“อยู่สุข”ของประชาชน ประกอบกับสถานการณ์กัมพูชาด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ความเดือดร้อน ความสับสน และความปั่นป่วนภายในประเทศทับทวีมากขึ้น โดยเฉพาะ ๓ จชต.นั้น สภาพ “ไทยพุทธเสียชีวิต ประเทศไทยเสียดินแดน” รุนแรงขึ้นอย่างน่าวิตก เนื่องจากกลุ่มผู้ก่อเหตุมั่นใจว่าอำนาจรัฐทุกระดับไม่กล้าและไม่สามารถ “แตะต้อง” ได้ ที่สำคัญคือการถูกทำให้เชิ่อว่า ม.๒๑ ที่จะนำมาใช้ใน มี.ค.๕๔ นั้นผู้ก่อเหตุกรณีความมั่นคงสามารถเข้ามอบตัวโดยไม่ต้องถูกลงโทษเพียงแต่เข้าอบรมซึ่งอาจจะมีการฝึกอาชีพและเงินทุนให้อีกด้วย ซึ่งผลของความเชื่อดังกล่าวทำให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไทยพุทธ โดยเฉพาะครอบครัวสุดท้ายหรือกลุ่มสุดท้ายในพื้นที่อย่างเมามัน ซึ่งทำให้จำนวนไทยพุทธที่บาดเจ็บและเสียชีวิตเท่าที่รวบรวมได้สูงถึง ๘๑ รายเทียบกับ ๓๐ รายของอิสลาม พร้อมๆกับการกว้านซื้อที่ดินไทยพุทธในพื้นที่เสี่ยงหรืออยู่กลางวงล้อมอิสลามด้วยราคาสูงมากทำให้คนไทยพุทธทยอยขายที่ดินอย่างต่อเนื่อง สภาพพื้นที่อิสลาม ๑๐๐% จึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าจะถึงจุดที่ยากจะยั้งหยุดได้
         ความปั่นป่วนทางการเมือง ประกอบกับข่าวลือการปฏิวัติอยู่เป็นระยะ ทำให้นักการเมืองอิสลามต่างชะลอการเคลื่อนไหวเพื่อประเมินสถานการณ์ สำหรับสื่ออิสลามก็ดูเหมือนจะเพลาๆการเคลื่อนไหวลงเพื่อประเมินสถานการณ์เช่นกัน แม้สื่ออิศราจะยังคงมีความพยายามตีความ ม.๒๑ โน้มน้าวให้ผู้ก่อเหตุมลายูอิสลามได้รับการยกเว้นการลงโทษอยู่บ้างก็ตาม ขณะที่นักวิชาการ/นักสิทธิมนุษยชน ซึ่งสังกัดสถาบันต่างๆนำโดยสถาบันพระปกเกล้ายังคงเคลื่อนไหวปลุก/กระตุ้นให้มลายูอิสลามเชื่อว่าการไม่ได้ปกครองตนเองคือการไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐ เช่นเดียวกับเครือข่ายเตมูจินซึ่งพยายามชิงการนำเพื่อแนะนำตนเองด้วยการอ้างเป็นตัวแทน RKK ยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลไทยซึ่ง ๑ ใน ๓ ข้อคือให้มลายูอิสลามเลือกจุฬาราชมนตรีแทนการโปรดเกล้าฯ

         แนวโน้มของสถานการณ์    หากไม่มีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เชื่อว่าสภาพทางการเมืองที่สับสนอลหม่าน ความอ่อนแอของผู้นำทหารในพื้นที่ และการที่อำนาจรัฐส่วนใหญ่ตกอยู่ในกำมือของมลายูอิสลาม โดยเฉพาะที่ จ.ปัตตานี น่าจะทำให้สถานการณ์ใน ๓ จชต.จะยังคงความรุนแรงอยู่ต่อไป และอันตรายที่ต้องพึงตระหนัก ได้แก่ ประการแรก การเข้าไปแสวงประโยชน์ใช้ปัญหาความรุนแรง ๓ จชต.เป็นเครื่องมือในการแจ้งเกิดของบรรดาผู้อ้างตัวเป็นนักวิชาการและนักสิทธิมนุษยชนหน้าใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้ผู้ที่มีบทบาทอยู่แล้วก็ยิ่งต้องเคลิ่อนไหวหนักขึ้นเพื่อรักษาตำแหน่งของตนเอาไว้ อันจะเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการทำงานของผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง ประการที่สอง ความไม่เป็นมิตรกันระหว่างพุทธและอิสลามปรากฏชัดเจนอย่างน่าวิตก จากสถานการณ์ใน ๓ จชต.และกระแสต่อต้านอิสลามทั่วโลก

นัยและสถิติการก่อเหตุ
         การก่อเหตุในช่วง ๑ - ๒๘ ก.พ.๕๔ เท่าที่รวบรวมได้ สรุปได้ว่ามีการก่อเหตุ ๕๔ เหตุการณ์ เพิ่มขึ้นจาก ๕๐ เหตุการณ์ ในช่วงเดียวกันของ ม.ค.๕๔ ทั้งนี้ จ.ปัตตานี ซึ่งมีผวจ. และ ผกก.เป็นอิสลาม มีการก่อเหตุ ๒๗ เหตุการณ์ โดย อ.หนองจิก มีการก่อเหตุมากที่สุด ๖ เหตุการณ์ ขณะที่ อ.ยะรัง มีการก่อเหตุ ๕ เหตุการณ์ รองลงมาคือ จ.นราธิวาส มีการก่อเหตุ ๑๖ เหตุการณ์ โดย อ.เมือง มีการก่อเหตุสูงสุด ๔ เหตุการณ์ ขณะที่ อ.ยี่งอ อ.เจาะไอร้อง และ อ.ศรีสาคร มีการก่อเหตุพื้นที่ละ ๓ เหตุการณ์ ขณะที่ จ.ยะลา มีการก่อเหตุ ๑๑ เหตุการณ์ โดย อ.เมือง มีการก่อเหตุสูงสุด ๕ เหตุการณ์ และ อ.รามันมีการก่อเหตุ ๔ เหตุการณ์ ส่วน จ.สงขลา ไม่มีรายงานการก่อเหตุ ทั้งนี้การก่อเหตุทั้ง ๕๔ เหตุการณ์ แยกเป็นการลอบยิงตัวบุคคล ๓๔ เหตุการณ์ รองลงมาคือการวางระเบิด ๑๖ เหตุการณ์ การเผา ๒ เหตุการณ์ และอื่นๆ ๒ เหตุการณ์ โดยไทยพุทธมีการสูญเสีย ๘๑ ราย แยกเป็นการเสียชีวิต ๑๖ ราย และบาดเจ็บ ๖๕ ราย สูงกว่าอิสลาม ซึ่งมีการสูญเสียรวม ๓๒ ราย แยกเป็นการเสียชีวิต ๑๙ ราย และบาดเจ็บ ๑๓ ราย

ข้อพิจารณา
          การก่อเหตุมีลักษณะของการก่อเหตุอย่างโหดเหี้ยม ฮึกเหิมและอหังการ์จากความเชื่อที่ว่าอำนาจรัฐไม่กล้าแตะต้อง ใน ๖ สาเหตุหลัก ได้แก่ ประการแรก อยู่ระหว่างการประชุม ของ OIC จนท.จะไม่กล้าตอบโต้กลับอย่างรุนแรง ประการที่ ๒ บุญคุณของผู้นำอิสลามที่มีต่อแม่ทัพภาค ๔ จะทำให้แม่ทัพไม่กล้าปราบโจรอย่างจริงจัง ประการที่ ๓ อำนาจรัฐในปัตตานีซึ่งมีการสังหารไทยพุทธอย่างโหดเหี้ยมรายวัน ตกอยูในมือของอิสลามโดยสิ้นเชิง ประการที่ ๔ การถูกทำให้เชื่อว่า ผู้มีความผิดด้านความมั่นคง ตาม ม.๒๑ สามารถเข้ามอบตัวได้โดยไม่ถูกลงโทษจำคุก ประการที่ ๕ นโยบายสับเปลี่ยนให้ทหารออกไปทำงานนอกตัวเมืองและให้ตำรวจและอส.เมืองเข้ามารับผิดชอบแทน จึงกลายเป็นช่องว่างที่กระตุ้นให้มีการก่อเหตุในพื้นที่ปลอดทหาร ประการที่ ๖ รัฐบาลยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียงจากมลายูอิสลาม
         ๑. การก่อเหตุรุนแรงอย่างโหดเหี้ยมและต่อเนื่องเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นการกระทำต่อคนต่างเชื้อชาติและศาสนาอันเป็นการทำลายขวัญกำลังใจไทยพุทธ เพื่อให้ถอดใจอพยพออกจาก ๓ จชต. โดยเฉพาะที่ปัตตานีนั้น ได้เกิดขึ้นต่อเนื่องทุกวัน ใน ๑๐ วันแรกของ ก.พ.๕๔ อาทิ
              - ๑ ก.พ.๕๔ พบศพพ่อแม่ลูกไทยพุทธ ตระกูลบุญหลง จาก ต.โคกสะตอ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ถูกยืงเสียชีวิต ๔ ศพ ในพงหญ้าข้างทาง บ้านบาโงตือบู หมู่ ๑๓ ต.สะเตงนอก อ.เมือง จ.ยะลา
              - ๓ ก.พ. ๕๔ กราดยิงไทยพุทธกลางชุมชน ม.๑ บ้านคอกกระบือ ต.คอกกระบือ อ.ปะนาเระ ทำให้มีผู้เสียชีวิต ๕ ราย บาดเจ็บสาหัส ๒ ราย และบาดเจ็บ ๒ ราย
              - ๑๐ ก.พ.๕๔ กราดยิงแล้วเผาทั้งเป็นไทยพุทธ ๓ ศพ ที่บริเวณเนินเขา บนถนนระหว่างบ้านบาเฆะ หมู่ ๕-บ้านโต๊ะชูด หมู่ ๖ ต.พิเทน อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี
         ๒. การก่อเหตุต่อเป้าหมายไทยพุทธมีลักษณะของความต้องการเพิ่ม “พื้นที่ อิสลาม ๑๐๐ %” ด้วยการสังหารไทยพุทธกลุ่มหรือครอบครัวสุดท้ายในแต่ละพื้นที่ และยึคที่ดินทำกิน ซึ่งการก่อเหตุในลักษณะนี้ ปรากฏชัดเจนตั้งแต่เมื่อมีการยิงและเผาไทยพุทธ ๔ ครอบครัวสุดท้ายใน ม.๖ ต.บาเระใต้ อ.บาเจาะ เมื่อ ๑๙ ก.ย.๕๓               - ๑ ก.พ.๕๔ พบศพพ่อแม่ลูกไทยพุทธครอบครัวสุดท้าย ตระกูลบุญหลง จาก ต.โคกสะตอ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ถูกยืงเสียชีวิต ๔ ศพ ถูกนำมาทิ้งในพงหญ้าข้างทาง บ้านบาโงตือบู หมู่ ๑๓ ต.สะเตงนอก อ.เมือง จ.ยะลา
         ๓.การก่อเหตุมีลักษณะของการแย่งยึคที่ดินทำกินของไทยพุทธอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลอบฝังกับระเบิดในสวนยางพาราและการยิงเจ้าของสวน ซึ่งชัดเจนมากเมื่อ ๒๕-๒๖ ต.ค.๕๓               - ๑๔ ก.พ.๕๔ คนร้ายกระหน่ำยิงแม่ลูกไทยพุทธ ขณะกรีดยางที่ หมู่ ๑ ต.กาหลง อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ทำให้นายชัยทัด บกเขาแดง เสียชีวิต การก่อเหตุที่น่าพิศวง               - ๑๑ กพ. ๒๕๕๔ ๑๙:๓๙ น. พ.ต.ท.มานพ วิวรรธนโรจน์ สวป.สภ.ยี่งอ จ.นราธิวาส ได้สั่งให้ส.ต.อ.กิตติศักดิ์ สินคำ พลขับประจำตำแหน่ง ไปส่งตนเองลงละหมาดที่มัสยิดดารุลอีมาน บ้านบูแนกียะ หมู่ ๑ ต.ยี่งอ อ.ยี่งอ โดยให้ส.ต.อ.กิตติศักดิ์ จอดรถคอยอยู่ด้านหลังของมัสยิด จากนั้น คนร้าย ๔ คนแต่งกายด้วยชุดดาวะห์ ใช้รถจักรยานยนต์ ๒ คันเป็นพาหนะ ขับเข้าจอดแล้วใช้ปืนสงครามกราดยิงเข้าใส่ ส.ต.อ.กิตติศักดิ์จนบาดเจ็บสาหัส เสียชีวิตลงในที่สุด

การเคลื่อนไหวของนักวิชาการไทย
         นักวิชาการ/นักสิทธิมนุษยชน ซึ่งสังกัดสถาบันต่างๆนำโดยสถาบันพระปกเกล้ายังคงเคลื่อนไหวปลุก/กระตุ้นให้มลายูอิสลามเชื่อว่าการไม่ได้ปกครองตนเองคือการไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐ เช่นเดียวกับเครือข่ายเตมูจินซึ่งพยายามชิงการนำเพื่อแนะนำตนเองด้วยการอ้างเป็นตัวแทน RKK ยื่นข้อเสนอให้มลายูอิสลามเลือกจุฬาราชมนตรีแทนการโปรดเกล้าฯ ขณะที่เครือข่ายสหวิทยาการแห่งราชบัณฑิตสถานฯกำลังถูกแสวงประโยชน์เพื่อเป็นบันไดก้าวสู่การมีตัวตนของนักวิชาการบางกลุ่ม ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้รับผิดชอบและผู้ที่เข้ามาร่วมในกิจกรรมบางประการที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหา จชต.
         ประธาน กสม. แนะลดมิติความมั่นคง-ลดใช้กม.พิเศษแก้ปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชนใต้….เมื่อเวลา ๑๐.๐๐ น. วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ร่วมกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) จัดเสวนาเรื่อง "เหลียวหลังแลหน้าสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรง" นางอัมรา พงศาพิชญ์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ปาฐกถาพิเศษในเวทีเสวนาว่า สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนใต้ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าวเกิดจากเงื่อนไข ๓ ข้อ คือ ๑.เงื่อนไขเชิงบุคคล คือการใช้อำนาจทางการปกครองเกินขอบเขต การใช้ความรุนแรงของผู้ก่อความไม่สงบ การตอบโต้ของฝ่ายรัฐด้วยความรุนแรง ๒.เงื่อนไขโครงสร้าง คือ ความไม่เป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรม เศรษฐกิจที่ไม่เข้มแข็ง และ ๓.เงื่อนไขวัฒนธรรม คือลักษณะเฉพาะของศาสนาและชาติพันธุ์ "รัฐควรลดมิติด้านความมั่นคงและลดการใช้กฎหมายพิเศษลงเพื่อลดการละเมิด สิทธิมนุษยชนลง ควรลดบทบาทเจ้าหน้าที่รัฐจากการเป็นผู้สั่งการให้เป็นผู้สนับสนุนให้ประชาชน มีส่วนร่วมมากขึ้น รวมถึงต้องเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนด้วย ทั้งนี้ เห็นว่าการแก้ไขปัญหาของพื้นที่ภาคใต้ในระยะยาวคือการแก้ไขที่ต้นเหตุโดยให้ หน่วยงานผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมกันแก้ไขปัญหาและให้ประชาชนใน พื้นที่มีส่วนร่วมในการเสนอแนะความคิดเห็น" นางอมรากล่าว (มติชน ๑ ก.พ.๕๔)
         - นายสุณัย ผาสุข นักวิชาการอิสระและผู้ประสานงาน ที่ปรึกษาองค์กรฮิวแมนไรท์วอชท์ประจำประเทศไทย กล่าวว่า... เพราะทั้งหมดเกิดจากความคับแค้นใจ ดังนั้นรัฐต้องมีความจริงใจในการเจรจาด้วย เพราะกระบวนการเจรจาอาจเจอแต่ทางตัน เพราะฝ่ายรัฐมีกำแพงกั้นอยู่ การที่ฝ่ายรัฐไม่ดูแลชาวไทย-มลายูทำให้เกิดปัญหา และกลายเป็นเรื่องใหญ่ ……. ดร.ชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวว่า ..... เพราะภาคใต้ยังถูกกระตุ้นด้วยความเกลียดชัง และความหวาดกลัว โดยเฉพาะเรื่องของการเลือก....... เรื่องสิทธิมนุษยชนต้องกลายเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งที่ละเลยไม่ได้ ส่วนเรื่องเยียวยานั้น.....ต้องเยียวยาคนที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดด้วย .....กระบวนการทำงานคือต้องยอมรับชาวไทย-มลายู ....ไม่ชี้ถูกชี้ผิด
         - พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาส ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้าเปิดเผยว่า .... สิ่งที่ชาวไทยมลายูคิดขณะนี้คือเรื่อง ๒ มาตรฐานความไม่เท่าเทียมกัน อย่างเรื่องการตั้งนครปัตตานีห้ามพูด ……. แต่กลับพูดเรื่องตั้งนครแม่สอดได้ หากไปดูตามชายแดนแม่สอดจะเห็นว่า มีภาษาพม่าอยู่ทุกมุมบ้านมุมเมือง หรือทางชายแดนติดกัมพูชามีภาษาเขมร แต่ทำไมชายแดนภาคใต้ ถึงมีภาษามลายูไม่ได้ นี้คือความไม่เป็นธรรม……วันนี้ตนจะเสนอใหม่ตั้งเป็น “สันติธานีโมเดล” เอากีฬา เอากิจกรรมต่าง ๆ ลงไป เพื่อให้เขาเห็นว่าเราไม่ได้เลือกปฏิบัติ. ( เดลินิวส์ ๒ ก.พ.๕๔ )
         - หน่วยเหนือ RKK ยื่นเงื่อนไขหยุดยิง๓ จว.ใต้ จากกรณีที่ นายชนาพัทธ์ ณ นคร ประธานเครือข่ายเตมูจิน เข้ายื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. หลังได้รับการประสานจากเครือข่ายผู้นำทางศาสนา หรือ อุลามะอฺว่ามีมูลนิธิการกุศลแห่งหนึ่งในประเทศมาเลเซียซึ่งเป็นผู้สนับสนุนด้านการเงินและงบประมาณให้กับหน่วยรบขนาดเล็ก RKK หรือ หน่วยคอมมานโดของขบวนการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องการขอเจรจาหยุดยิงนั้น นายชนาพัทธ์ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีดังกล่าวว่า มูลนิธิแห่งนี้ได้ประสานงานผ่านอุลามะอฺเพื่อแจ้งการขอยื่นเงื่อนไขต่อรัฐบาล รัฐสภา และกองทัพเพื่อประกอบการเจาจรหยุดยิงและนำความสุขมาสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเงื่อนไขมีด้วยกัน ๓ ข้อ คือ
         ๑.ข้อให้มีการแก้ไข พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.๒๕๔๐ มาตรา ๖ วรรค ๒ กรณีให้นายกรัฐมนตรีนำชื่อผู้ที่จะดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีซึ่งได้รับการเห็นชอบจากกรรมการกลางอิสลามประจำจังหวัดทั่วประเทศขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นจุฬาราชมนตรี ให้เปลี่ยนเป็นให้จุฬาราชมนตรีมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากมุสลิมไทยทั่วประเทศที่มีอายุ ๑๘ ขึ้นไป
         ๒.ขอให้รัฐสภาแต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนสาธารณะในคดีความมั่นคงทุกคดีตั้งแต่ปี ๒๕๔๖ เป็นต้นมา และให้ตัวแทนจาก อาเซียน OIC และUN เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง
         ๓.ทางมูลนิธิการกุศลดังกล่าวเชื่ออย่างยิ่งว่าเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนอกจากเป็นการกระทำของกลุ่ม RKK กลุ่มแนวร่วม และกลุ่มย่อยอื่นๆแล้ว บางส่วนเกิดจากการสร้างสถานการณ์ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเพื่อคงไว้ซึ่งกฎหมายพิเศษ เป้าประสงค์เพื่อดึงงบประมาณและงบลับอันมหาศาลลงสู่พื้นที่และเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ค้าของหนีภาษีที่มีเจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมืองในพื้นที่ และพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคร่วมรับผลประโยชน์และอยู่เบื้องหลัง เรื่องดังกล่าวให้กรรมการไต่สวนสาธารณะในข้อที่ ๒ มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการตรวจสอบและไต่สวนหาข้อเท็จจริงกรณีนี้ด้วย ประธานเครือข่ายเตมูจิน กล่าวด้วยว่า ยังพร้อมที่จะเป็นคนกลางประสานการเจรจา แม้จะเป็นหนังหน้าไฟก็ยอมเพราะส่วนตัวแล้วเห็นว่าเรื่องนี้เป็นภารกิจสำคัญในการนำความสงบสุขกลับคืนสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้(breakingnews.nationchannel.com ๑ ก.พ.๕๔)

การเคลื่อนไหวของแกนนำแนวร่วม และ sympathizer
         ความปั่นป่วนทางการเมือง ประกอบกับข่าวลือการปฏิวัติอยู่เป็นระยะ ทำให้นักการเมืองอิสลามต่างชะลอการเคลื่อนไหวเพื่อประเมินสถานการณ์ สำหรับสื่ออิสลามก็ดูเหมือนจะเพลาๆการเคลื่อนไหวลง แม้สื่ออิศรายังคงมีความพยายามตีความ ม.๒๑ โน้มน้าวให้ผู้ก่อเหตุมลายูอิสลามได้รับการยกเว้นการลงโทษอยู่บ้างก็ตาม เข้าข่าย ม.๒๑ มีลุ้นอบรม ๖ เดือนแทนถูกดำเนินคดี สถาบันอิศรา เมื่อ ๘ ก.พ.๕๔ เพื่อชี้นำว่าเชิงกดดันให้มองว่าผู้ต้องหาที่กระทำความผิดด้านความมั่นคง เป็นแค่ผู้หลงผิดซึ่งควรเข้ารับการฝึกอบรมจากรัฐเป็นเวลาไม่เกิน ๖ เดือนแทนการถูกดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม

ความคิดเห็นที่ไม่ลงรอยกันของพุทธ-อิสลาม     มหาเถรสมาคม (มส.) ออกโรง นร.มุสลิม เรียน รร.วัด ห้ามคลุมฮิญาบ
         - มส.ออกแนวปฏิบัติโรงเรียนวัดทั่วประเทศ ระบุ ร.ร.ในพื้นที่ธรณีสงฆ์ต้องยึดวิถีพุทธ ทำตามจารีตประเพณีไทย ... จากการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ได้พิจารณาเรื่องที่เสนอโดยคณะอนุกรรมาธิการพระพุทธศาสนา คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เสนอ มส.พิจารณาเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติระหว่างโรงเรียนวัดในพระพุทธศาสนากับนัก เรียนที่นับถือศาสนาอิสลามเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
         หลังจากเกิดกรณีพิพาทระหว่าง ร.ร.มัธยมวัดหนองจอก กับกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพฯ โดย นายเจริญ โต๊ะงิมา และกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ ได้ยื่นหนังสือขอให้นักเรียนหญิง ๑๗ คน ที่เรียนอยู่ที่ ร.ร.มัธยมวัดหนองจอก แต่งกายตามหลักศาสนาอิสลามคลุมผ้าฮิญาบมาโรงเรียน โดยอ้างหลักศาสนาอิสลาม สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ
         ทั้งนี้ ในการประชุมมส.มีการรายงานว่า ทางโรงเรียนได้เชิญคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานประชุมพิจารณาเรื่องดัง กล่าว และมีมติเอกฉันท์ให้ยกคำขอของกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพฯ และกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ ส่วนกรณีที่เป็นครูได้มีการทำหนังสือหารือไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษาเขต ๒ ได้ข้อสรุปว่า
         - ไม่อนุญาตให้ครูแต่งกายแสดงสัญลักษณ์ทางศาสนา เนื่องจากการอ้างสิทธิตามรัฐธรรมนูญนั้น จะต้องยึดถือการปฏิบัติตามหน้าที่ของคนไทยตามรัฐธรรมนูญด้วย โดยการปฏิบัติตามหลักศาสนา ลัทธิทางศาสนา และความเชื่อของตน แต่จะต้องไม่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีงาม ตลอดถึงไม่กระทบสิทธิของผู้อื่นด้วย มส.ได้พิจารณาแล้วมีมติรับทราบตามแนวทางที่อนุกรรมาธิการพระพุทธศาสนาฯ เสนอ คือ
         ๑.โรงเรียนหรือหน่วยราชการใดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของวัดหรือที่ธรณีสงฆ์ การใช้พื้นที่ต้องปฏิบัติตามขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี วิถีไทยและวิถีพุทธ และกฎระเบียบของวัด
         ๒.ให้คณะสงฆ์มีส่วนร่วมในการพิจารณาการแต่งตั้งผู้บริหารของโรงเรียน หรือหน่วยราชการ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของวัดหรือที่ธรณีสงฆ์
         ๓.ควรให้พระสงฆ์ เข้าไปมีบทบาทในการกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนา หลักคุณธรรม จริยธรรมทุกระดับชั้น
         ๔.โรงเรียนหรือหน่วยราชการใดขอใช้พื้นที่ของวัดหรือที่ธรณีสงฆ์ ต้องหารือและได้รับความยินยอมจากเจ้าอาวาส และคณะสงฆ์ผู้ปกครองทุกระดับจนถึงเจ้าคณะจังหวัดก่อน ทั้งนี้ ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแจ้งมติดังกล่าวและให้มีผลตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป. ผู้สื่อข่าวมุสลิมไทยได้สอบถามไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้ ต่างๆรู้สึกลำบากใจที่ มส. เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งๆที่ ประเทศไทยมีการประกาศระเบียบของกระทรวงศึกษาอย่างชัดเจน และหลายท่านก็กล่าวว่า การตัดสินใจของคณะกรรมการบางคน ใช้ความอคติทางด้านลบในการตัดสินใจ พร้อมกล่าวว่า ต่อไปพี่น้องมุสลิมหากจะผ่านโรงเรียนวัด ต้องถอดฮิญาบด้วยหรือป่าว หากไม่ถอด ก็ผ่านโรงเรียนวัดไม่ได้ (มุสลิมไทยดอทคอม : ๒๒ ก.พ. ๕๔)

วันที่ : ๒๒ กพ. ๕๔ ๑๕:๐๓:๕๒
IP Address : ๒๐๒.๑๔๓.๑๙๑.๑๖๙
การคลุมฮิญาบของนักเรียนมุสลิม มันทำลายความสุขชาวพุทธตรงใหน สันติภาพ เกิดจากความเข้าใจกัน เข้าใจในวัฒธรรมซึ่งกันและกัน ผมว่า ความคิดที่ห้ามไม่ให้นักเรียนมุสลิมะฮ คลุมฮิญาบ หากเรียนโรงเรียนที่อยู่ภายในวัด มันเป็นความคิดที่เกิดจากอคติ

วันที่ : ๒๒ กพ. ๕๔ ๑๕:๓๓:๓๕
IP Address : ๑๒๔.๑๒๒.๗๔.๖๓
มหาเถรน่าจะไปห้ามผู้หญิงที่นุ่งสั้นดีกว่า เดี๋ยวนี้ก็แปลก พระสงค์เจอผู้หญิงแต่งตัวปกปิดมิดชิดกลับร้อนรุ่มกว่าเจอพวกผู้หญิงนุ่งสั้น ซะอีก มนุษย์...หนอ...

วันที่ : ๒๒ กพ. ๕๔ ๑๖:๐๘:๔๑
IP Address : ๕๘.๑๓๗.๔๐.๒๔๒
สรุป ประเด็นได้ว่า หนึ่ง บางสมาคมชอบให้ผู้หญิงแต่ตัวโป้หรือโชว์ทุกอย่างเท่าที่โชว์ได้ สอง บางสมาคม อุตริคิดค้น หลักการทางศาสนาขึ้นมาเอง น่าจะเรียกได้ว่า เป็น พวกศาสนาลัทธิอุตริ สาม บางสมาคมทำทุกอย่างเพื่อความสะใจของสมุนและพวกพ้องแต่แอบอ้างหลัการศาสนา สี่ รออีกสักพัก พวกนี้ไม่อยู่ค้ำฟ้าหรอกไม่กี่วัน ฟ้าก็จะฝ่าตัวมันเองจนหมดสภาพความมนุษย์

Guest
วันที่ : ๒๒ กพ. ๕๔ ๑๖:๓๔:๒๓
IP Address : ๕๘.๑๓๗.๔๐.๒๔๒
นี่เป็นสิ่งซึ่งแสดงถึงความเป็นหลักการทีถูกต้อง หรือหลักการของปีศาจ ในประเทศมุสลิม ไม่ได้สั่งห้ามพระห่มจีวร แสดงว่ามุสลิมมีจิตใจที่เหนือกว่ามาก ถ้านำเอาคำสอน มาดู คือ มุสลิม เป็น ดอกบัวที่เหนือน้ำ มีจิตใจอารีต่อทุกสรรพสิ่งในโลก แต่ พวกที่ห้ามคือ พวกบัวใต้น้ำ เพราะยึดติดแต่กิเลสตัณหาราคะชอบให้ผู้หญิงทำตัวเหมือนสัตว์เดรฉาน

Guest
วันที่ : ๒๒ กพ. ๕๔ ๑๘:๐๒:๕๐
IP Address : ๕๘.๖๔.๑๒๐.๑๐๒
นี่เป็นกรณีตัวอย่าง อีกหน่อยทุกโรงเรียนก็จะไม่ให้เหมือนกัน ฉะนั้นเราต้องเริ่มเผาวัดกันแล้ว เพื่อให้รู้ว่าความยุติธรรมมันยังมีบนหน้าแผ่นดินของพระองค์

Guest
วันที่ : ๒๒ กพ. ๕๔ ๒๒:๒๖:๕๙
IP Address : ๒๐๓.๑๓๑.๒๐๘.๑๙๘
พระเข้าเขตสุเหร่า....ขอให้ถอดจีวรออก

วันที่ : ๒๕ กพ. ๕๔ ๒๑:๓๘:๓๐
IP Address : ๑๙๒.๑๖๘.๑๓.๒๑๑
คุยกับ สส สามารถ มะลูลีมเรื่องนี้ จะนำเข้าประชุมสภา ด่วน

                                               ............................................