![]() |
สุภาษิตอิศรญาณ เป็นพระนิพนธ์ของหม่อมเจ้าอิศรญาณ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เขียนเป็นคำประพันธ์ประเภทเพลงยาว จึงได้ชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า เพลงยาวเจ้าอิศรญาณ
เนื้อหาของสุภาษิต มีข้อความที่เป็นที่นิยมแพร่หลาย อยู่มากแห่งด้วยกัน และมีลักษณะของวิถีชีวิตไทย
อยู่อย่างเต็มเปี่ยม จึงทันสมัยอยู่แม้ในยุคปัจจุบัน
| เทศนาคำไทยให้เป็นทาน | โดยตำนานศุภอรรถสวัสดี |
| สำหรับคนเจือจิตจริตเขลา | ด้วยมัวเมาโมห์มากในซากผี |
| ต้องหาม้ามโนมัยใหญ่ยาวรี | สำหรับขี่เป็นม้าอาชาไนย |
|
|
น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอัชฌาสัย |
| เราก็จิตคิดดูเล่าเขาก็ใจ | รักกันไว้ดีกว่าชังระวังการ |
| ผู้ใดดีดีต่ออย่าก่อกิจ | ผู้ใดผิดผ่อนพักอย่าหักหาญ |
| สิบดีก็ไม่ถึงกับกึ่งพาล | เป็นชายชาญอย่าเพ่อคาดประมาทชาย |
|
|
รักยาวนั้นอย่าให้เยิ่นเกินกฎหมาย |
| มิใช่ตายแต่เขาเราก็ตาย | แหงนดูฟ้าอย่าให้อายแก่เทวดา |
|
|
น้ำตาลย้อยมากเมื่อไรได้หนักหนา |
| อย่านอนเปล่าเอากระจกยกออกมา | ส่องดูหน้าเสียทีหนึ่งแล้วจึงนอน |
|
|
พิเคราะห์ดูควรทึ้งแล้วจึงถอน |
| เห็นเต็มตาแล้วอย่าอยากทำปากบอน | ตรองเสียก่อนจึงค่อยทำกรรมทั้งมวล |
|
|
ใจความว่าผู้มีคุณอย่าหุนหวน |
| เอาหลังตากแดดเป็นนิจคิดคำนวณ | รู้ถี่ถ้วนจึงสบายเมื่อปลายมือ |
|
|
ส่งให้ลิงจะรู้ค่าราคาหรือ |
| ต่อผู้ดีมีปัญญาจึงหารือ | ให้เขาลือเสียว่าชายนี้ขายเพชร |
|
|
ใครเลยเล่าจะไม่งามตามเสด็จ |
| จำไว้ทุกสิ่งจริงหรือเท็จ | พริกไทยเม็ดนิดเดียวเคี้ยวยังร้อน |
|
|
ใจของเราไม่สอนใจใครจะสอน |
| อยากใช้เขาเราต้องก้มประนมกร | ใครเลยห่อนจะว่าตัวเป็นวัวมอ |
|
|
คนโหยกเหยกรักษายากลำบากหนอ |
| อันยศศักดิ์มิใช่เหล้าเมาแต่พอ | ถ้าเขายอเหมือนอย่างเกาให้เราคัน |
|
|
เป็นไรเขาไม่จับผิดคิดดูขัน |
| ผีมันหลอกช่างผีตามทีมัน | คนเหมือนกันหลอกกันเองกลัวเกรงนัก |
|
|
จะเรียนคมเรียนเถิดอย่าเปิดฝัก |
| คนสามขามีปัญญาหาไว้ทัก | ที่ไหนหลักแหลมคำจงจำเอา |
|
|
ไปพูดขัดเขาทำไมขัดใจเขา |
| ใครทำตึงแล้วหย่อนผ่อนลงเอา | นักเลงเก่าเขาไม่หาญราญนักเลง |
|
|
ชายมักยั่วทำเลียบเทียบข่มเหง |
| ไฟไหม้ยังไม่เหมือนคนที่จนเอง | ทำอวดเก่งกับขื่อคาว่ากระไร |
| อันเสาหินแปดศอกตอกเป็นหลัก | ไปมาผลักบ่อยเข้าเสายังไหว |
| จงฟังหูไว้หูคอยดูไป | เชื่อน้ำใจดีกว่าอย่าเชื่อยุ |
|
|
มันชอบใจข้างปลอบไม่ชอบดุ |
| ที่ห่างปิดที่ชิดไชให้ทะลุ | คนจักษุเหล่หลิ่วไพล่พลิ้วพลิก |
|
|
บนบกหนออุตส่าห์เสือกกระเดือกกระดิก |
| เขาย่อมว่าฆ่าควายเสียดายพริก | รักหยอกหยิกยั บทั้งตัวอย่ากลัวเล็บ |
|
|
แต่หนามตำเข้าสักนิดกรีดยังเจ็บ |
| อันโลภลาภบาปหนาตัณหาเย็บ | เมียรู้เก็บผัวรู้ทำพาจำเริญ |
|
|
เต็มที่ครู่เดียวเท่านั้นเขาสรรเสริญ |
| ไม่ควรกล้ำเกินหน้าก็อย่าเกิน | อย่าเพลิดเพลินคนชังนักคนรักน้อย |
|
|
ถึงมีปากเสียเปล่าเหมือนเต่าหอย |
| ผีเรือนตัวไม่ดีผีป่าพลอย | พูดพล่อยพล่อยไม่ดีปากขี้ริ้ว |
|
|
สีแหยะแหยะตอกตะบันเป็นควันฉิว |
| ช้างถีบอย่าว่าเล่นกระเด็นปลิว | แรงหรือหิวชั่งใจดูจะสู้ช้าง |
|
|
แต่ว่าอย่ายักเยื้องเข้าเบื้องหาง |
| ต้องว่องไวในทำนองคล่องท่าทาง | ตบหัวผางเดียวม้วนจึงควรล้อ |
|
|
ถ้าแม้ให้เสียทุกคนกลัวคนขอ |
| พ่อแม่เลี้ยงปิดปกเป็นกกกอ | จบแล้วหนอเหมือนเปรตเหตุด้วยจน |
|
|
ต้องอาศัยคิดดีจึงมีผล |
| บุญหาไม่แล้วอย่าหลงทะนงตน | ปุถุชนรักกับชังไม่ยั่งยืน |
| อันคลื่นใหญ่ในมหาชลาสินธุ์ | เข้าฝั่งสิ้นสาดเข้าไปที่ในฝั่ง |
| เสียงกลองดังฟังดูเพียงหูฟัง | ปากคนดังอึงจริงยิ่งกว่ากลอง |
| ถ้าทำดีก็จะดีเป็นศรีศักดิ์ | ถ้าทำชั่วชั่วจักตามสนอง |
| ความชั่วเราลี้ลับอย่ากลับตรอง | นอนแล้วมองดูผิดในกิจการ |
| อันความเรื่องเดียวกันสำคัญกล่าว | พูดไม่ดีแล้วก็เปล่าไม่แข็งเข้ม |
| ข้าวต้มร้อนอย่ากระโจมค่อยโลมเล็ม | วิสัยเข็มเล่มน้อยร้อยช้าช้า |
| ถึงโปร่งปรุในอุบายเป็นชายชาติ | แม้หลงมาตุคามขาดศาสนา |
| อันความหลงแม้ไต่ปลงสังขารา | แต่ทว่ารู้บ้างค่อยบางเบา |
| อย่าโอกโขยกอยู่ในโลกสันนิวาส | แต่นักปราชญ์ยังรู้พึ่งผู้เขลา |
| เหมือนเรือช่วงพ่วงลำในสำเภา | เรือใหญ่เข้าไม่ได้ใช้เรือเล็ก |
| หลงโลภลาภบาปก็รู้อยู่ว่าบาป | กิเลสหยาบยังไม่สุขย่อมทุกขัง |
| ตัณหาหากชักนำให้กำบัง | เอาธรรมตั้งข่มกดให้ปลดร้อน |
| คนศรัทธาว่าง่ายสบายจิต | ไม่เบือนบิดเร่งทำตามคำสอน |
| คนที่ไม่ศรัทธาอุราคลอน | โง่แล้วงอนถึงไม่ฟังก็ยังดึง |
| หาเงินติดไถ้ไว้อย่าให้ขาด | ตำลึงบาทหาไม่คล่องเพียงสองสลึง |
| ชาติตะปูชาติแข็งต้องแทงตรึง | ชาติขี้ผึ้งชาติอ่อนร้อนละลาย |
| ของสิ่งใดสงสัยให้พิสูจน์ | ไม่แกล้งพูดธาตุทั้งสี่ดีใจหาย |
| ดูดินน้ำลมไฟให้แยบคาย | ไล่ระบายเท็จก็แปรแท้ไม่จร |
| คุณกับโทษสองแบ่งแรงข้างไหน | คุณถึงใหญ่ให้ผลคนไม่เห็น |
| โทษสักเท่าหัวเหาเล็กเท่าเล็น | ให้ผลเห็นแผ่ซ่านทั่วบ้านเมือง |
| น้ำใจเอยเห็นกรรมไม่ทำชั่ว | บวชตั้งตัวตั้งใจบวชได้เรื่อง |
| บวชหลบราชการหนักบวชยักเยื้อง | บวชหาเฟื้องหาไพบวชไม่ตรง |
| สัตว์ผอมฤษีพีนี้สองสิ่ง | สามผู้หญิงรูปดีไม่มีถัน |
| กับคนจนแต่งอินทรีย์นี้อีกอัน | สี่ด้วยกันดูเป็นเห็นไม่งาม |
| บรรพชาสามปางนางสามผัว | ข้าเก่าชั่วเมียชังเขายังห้าม |
| มักเกิดเงี่ยงเกี่ยงแง่แส่หาความ | กาลีลามหยาบช้าอุลามก |
| ถือตำรามากนักขี้มักกรอบ | มิเสียชอบขัดสนจนจอนจ่อ |
| ออกชื่อบาปครางฮือทำมืองอ | ไม่นึกฉ้อส่อเสียดเบียดเบียนใคร |
| จิตดำรงคงธรรมไม่พล้ำเพลี่ยง | สู้หลีกเลี่ยงตามภาษาอัชฌาสัย |
| ถึงบอกลาภบาปแล้วไม่พอใจ | มีหาไม่อุตส่าห์รักษากาย |
| พระพุทธองค์ก็ทรงชมว่าสมปราชญ์ | บัณฑิตชาติเมธาปัญญาหลาย |
| สู่คติเบื้องหน้าถ้าเขาตาย | ทางอบายห่างไกลไม่ไปเลย |
| กระแสพุทธฎีกาว่ากระนี้ | เดี๋ยวนี้นี่ไม่กระนั้นนะท่านเอ๋ย |
| ถ้ายากจนแล้วก็คนมักยิ้มเย้ย | ภิปรายเปรยเปรียบเทียบพูดเสียบแทง |
| ว่าชะชะนักปราชญ์ชาติสถุล | วิบากบุญให้ผลจนต่องแต่ง |
| สวรรค์นรกที่ไหนไม่แจ้งแจง | อยู่เขตแขวงธานีบุรีใด |
| อย่าคบมิตรจิตพาลสันดานชั่ว | จะพาตัวให้เสื่อมที่เลื่อมใส |
| คบนักปราชญ์นั่นแหละดีมีกำไร | ท่านย่อมให้ความสบายหลายประตู |
| ชั่วแต่กายวาจาย่อมปรากฏ | คนทั้งหมดแม่นแท้เขาแลเห็น |
| ชั่วในใจบังปิดไว้มิดเม้น | สิบห้าเล่มเกวียนเข็นไม่หมดมวล |
| คดสิ่งอื่นหมื่นแสนแม้นกำหนด | โกฏล้านคดซ้อนซับพอนับถ้วน |
| คดของคนล้นล้ำคดน้ำนวล | เหลือกระบวนที่จะจับนับคดค้อม |
| จะผ่าไม้ให้พินิจพิศดูท่า | ให้เห็นว่าแสกไหนเหมาะจึงเจาะขวาน |
| จะเข้าหาคนผู้ดูอาการ | ถือโบราณถูกเดาจึงเอาคำ |
| คนแก่มีสี่ประการโบราณว่า | แก่ธรรมาพิสมัยใจแห้งเหี่ยว |
| แก่ยศแก่วาสนาปัญญาเปรียว | แต่แก่แดดอย่างเดียวแก่เกเร |
| ความรู้ท่วมหัวตัวไม่รอด | เป็นคำสอดของคนเกเรเกเส |
| เรียนวิชาไม่แม่นยำคะน้ำคะเน | ไปเที่ยวเตร่ประกอบชั่วตัวจึงจน |
| ทะเลน้อยเท่ารอยโคโผไม่ได้ | โดยว่าใจยังกำหนัดขัดมรรคผล |
| หญิงขมิ้นชายปูนประมูลปน | ไหนจะพ้นทะเลแดงตำแหน่งเนื้อ |
| อีกข้อหนึ่งเมืองเราชาวมนุษย์ | ย่อมว่าพุทธกับไสยตั้งใจว่า |
| ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันไปมา | ทั้งเจรจารำคาญหูดูไม่งาม |
| พุทธแปลว่าพระเจ้าท่านกล่าวแก้ | ไสยนั้นแปลว่าผีนี้ได้ถาม |
| ผิดหรือถูกไม่ตรึกตราเจรจาตาม | มีเนื้อความในคัมภีร์บาลีใด |
| ถ้าพุทธองค์ไปอาศัยผี | ผีไปพึ่งบารมีที่ตรงไหน |
| ถ้อยทีถ้อยพึ่งกันนั้นอย่างไร | ครั้นว่าไล่เข้าก็ซัดลัทธิแรง |
| เป็นวาจากรรมเปล่าไม่เข้าข้อ | รู้แล้วก็นิ่งไว้อย่าได้แถลง |
| แม้พลั้งปากเสียศีลพลาดตีนแพลง | มักระแวงข้างเป็นโทษประโยชน์น้อย |
| จะคบมิตรสนิทนักมักเป็นโทษ | เกิดขึ้งโกรธต่างต่างเพราะวางจิต |
| ทันระวังตัวที่ไหนไม่ทันคิด | เหตุสักนิดแล้วก็ได้ขัดใจกัน |
| ผมยาวยุ่งทิ้งไว้ไม่สางหวี | สิ้นที่พึ่งแล้วจึงมีคนข่มเหง |
| อาวุธปากกล่าวดีมีคนเกรง | ยิงให้เป้งเดียวถูกทุกทุกคำ |
| ดูตระกูลกิริยาดูอากัป | ดูทิศจับเอาที่ผลต้นพฤกษา |
| ดูฉลาดเล่าก็เห็นที่เจรจา | ดูคงคาก็พึงหมายสายอุบล |
| นกกระจาบเดิมหนักหนามากกว่าแสน | ไม่เดือดแค้นสามัคคีย่อมมีผล |
| ครั้นภายหลังอวดกำลังต่างถือตน | พรานก็ขนกระหน่ำมาพากันตาย |
| คืนและวันพลันดับก็ลับล่วง | ท่านทั้งปวงจงอุตสาห์หากุศล |
| พลันชีวิตคิดถึงรำพึงตน | อายุคนนั้นไม่ยืนถึงหมื่นปี |
| อันความมรณาถ้วนหน้าสัตว์ | แต่พระตรัสเป็นองค์พระชินศรี |
| แสนประเสริฐเลิศภพจบธาตรี | ยังจรลีเข้าสู่นิพพานเอย ฯ |